ควันหลงพบทรัมป์ ประยุทธ์หนีบ “ธุรกิจยักษ์ใหญ่ไทย” ต่อยอดลงทุนในต่างแดน ขยายโอกาสธุรกิจหรือปรับดุลการค้าเอาใจอเมริกา

การเดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกาของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ระหว่างวันที่ 1- 5 ตุลาคม 2560  ที่ผ่านมาตามคำเชิญอย่างเป็นทางการของนายโดนัล ทรัมป์  ประธานาธิบดีสหรัฐฯนั้น  นอกจากพล.อ.ประยุทธ์จะหนีบรัฐมนตรีคนสำคัญของรัฐบาลนี้หลายคนร่วมคณะไปด้วยแล้ว  อาทิ  นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ  พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รมช.กลาโหม  งานนี้ยังมีการหนีบนักธุรกิจรายใหญ่คนสำคัญระดับ “เจ้าสัว” ของประเทศเดินทางร่วมคณะไปเจรจาธุรกิจกับทางสหรัฐฯด้วย

อาทิ  นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย  ในฐานะ Director-Government Liaisons and Public Affairs ตัวแทน บ.ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)  นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ. ไทยยูเนี่ยน ซีฟู้ด จำกัด  นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ บ. น้ำตาลมิตรผล จำกัด  นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ “ พีทีที จีซี”  เป็นต้น

 

 

 

 

ทั้งนี้เหตุผลหลักสำคัญที่พล.อ.ประยุทธ์ต้องหนีบเจ้าสัวที่เป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่มูลค่ารวมกันหลายแสนล้านบาทกลุ่มนี้ไปสหรัฐฯ นอกเหนือจากจะเป็นการขยายช่องทางและโอกาสในการประกอบธุรกิจระหว่างเอกชนทั้งสองประเทศให้เพิ่มมูลค่ามากขึ้นแล้ว   งานนี้ยังมีการจับตาว่าเป็นกุศโลบายของพล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาล ที่ต้องการ “เอาใจ” เพื่อหวังปรับสมดุลการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯไม่ให้เกิดส่วนต่างมากไป   หลังจากที่ผ่านมาสหรัฐฯขาดดุลการค้ากับหลายประเทศในโลกมีมูลค่าต่อปีสูงมาก  และหนึ่งในนั้นก็มีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย    

ถึงขนาดที่นายโดนัลด์ ทรัมป์  ซึ่งประกาศเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจแบบกีดกันการค้าอย่างต่อเนื่อง ตามสโลแกนอเมริกาต้องมาก่อน หรือ  “America First” ที่ใช้หาเสียงจนชนะการเลือกตั้ง  ต้องออกคำสั่งประธานาธิบดี 2 ฉบับ  เมื่อ  31 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมาเพื่อสอบสวนประเทศคู่ค้าที่สหรัฐฯขาดดุลมากว่าเป็นเพราะเหตุใด   โดยเนื้อหาคำสั่งประธานาธิบดีดังกล่าว  ประกอบด้วย 1. กำหนดกรอบเวลา 90 วัน ให้มีการสอบสวนคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ 16 ประเทศ ที่สหรัฐฯค้าขายขาดดุลด้วยอย่างต่อเนื่องว่าใช้ กลโกงหรือเอาเปรียบสหรัฐฯหรือไม่  และ 2. ให้หน่วยงานศุลกากรออกมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้า ป้องกันการขายของแบบทุ่มราคาให้ต่ำกว่าราคาตลาด ซึ่งบริษัทต่างชาตินิยมใช้ จนทำให้ผู้ประกอบการในสหรัฐฯไม่สามารถแข่งขันในด้านราคาด้วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

 

สำหรับ  16 ประเทศที่ถูกสอบสวน  ประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เม็กซิโก แคนาดา เยอรมนี เวียดนาม ไอร์แลนด์ อิตาลี ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เกาหลีใต้ อินเดีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย ทั้งนี้สหรัฐฯถือเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทย รองจากจีนและญี่ปุ่น  โดยในปีนี้ 2560 ผ่านไปเพียง 3 เดือน หรือไตรมาสแรก การค้าระหว่างกัน ทั้งส่งออกและนำเข้ารวมกันมีมูลค่ารวมอยู่ที่  260,000 ล้านบาทแล้ว คิดเป็นร้อยละ 11 ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศของไทย ส่วนในปี  2559  ที่ผ่านมา ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ถึง 1.2 ล้านล้านบาท ขณะที่สหรัฐฯส่งออกมาไทยมีมูลค่าแค่ 3.6 แสนล้านบาท

 

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การเดินทางไปเยือนสหรัฐฯเที่ยวนี้ พล.อ.ประยุทธ์จึงชวนเอกชนที่มีแผนลงทุนในอเมริกาอยู่แล้วไปร่วมลงนามกับเอกชนของสหรัฐฯ  เพื่อแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯก็ได้ดุลการค้าจากไทยไม่น้อย โดยงานนี้ก็มี ทาง บ. พีทีที จีซี สหรัฐฯ   ได้ลงนามกับหน่วยงานด้านการส่งเสริมการลงทุนในรัฐโอไฮโอ เพื่อดำเนินการพัฒนาโครงการก่อสร้าง Petrochemical Complex  ณ รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยใช้ก๊าซจากหินดินดานเป็นวัตถุดิบ ขณะที่ทาง บ.ปูนซีเมนต์ไทย ก็เตรียมลงนามการซื้อถ่านหินจากภาคเอกชนสหรัฐฯ 2 ฉบับ รวมจำนวน 155,000 ตัน เพื่อใช้ในการผลิตปูนซีเมนต์