“พระราชดำรัส” ที่จะทำให้คนไทยคิดถึง “มหาราชา” สุดหัวใจ  นับถอยหลังน้อมส่งเสด็จสู่สวรรค์  “แผ่นดินอาลัย คนไทยโศกเศร้า”

“พระราชดำรัส” ที่จะทำให้คนไทยคิดถึง “มหาราชา” สุดหัวใจ นับถอยหลังน้อมส่งเสด็จสู่สวรรค์ “แผ่นดินอาลัย คนไทยโศกเศร้า”

นับถอยหลังเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเข้าสู่พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในหลวงในดวงใจของปวงชนชาวไทยตลอดกาล   ซึ่งจะเป็นห้วงเวลาที่ “แผ่นดินอาลัย คนไทยโศกเศร้า”อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน   เพื่อเป็นการน้อมส่งเสด็จพระองค์ท่านสู่สวรรคาลัย  เราจะไปย้อนรำลึกไปฟังพระราชดำรัสอันสำคัญยิ่งของพระองค์ท่านที่ได้พระราชทานให้แก่คณะบุคคลต่างๆ ที่มารอเข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต ในวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2538  โดยเป็นพระราชดำรัสที่จะทำให้คนไทยทุกคนคิดถึงในหลวง ร.9  คิดถึงสมเด็จย่า สุดหัวใจ และเหมาะสมกับสถานการณ์เป็นอย่างยิ่ง   ใจความตอนหนึ่งว่า 

 

 

 

ตลอดปีที่ผ่านมา ที่จริงบอกได้ว่าเป็นปีที่ค่อนข้างจะหนัก ค่อนข้างจะเดือดร้อน  เดือดร้อนเอาจริงๆ คือว่า เดือดร้อนจนกระทั่งทำอะไรไม่ค่อยได้ เพราะว่าที่ท่านมานั่งอยู่ที่นี่เป็นพื้นที่ที่เกิดเรื่อง.  เรื่องมีอยู่ว่าเรากำลังเดินออกกำลังอยู่รอบๆ แถวๆ นี้ ที่ท่านนั่งอยู่ ตรงนี้เราก็เดินรอบ แต่ท่านทั้งหลายไม่อยู่  เดินไปเดินมา รู้สึกมันอึดอัดเข้าทุกที คนถ้าเห็นก็คงบอกว่าหน้าซีด ก็คงซีด เดินไปเดินมา เอ๊ะ! เดินไม่ไหวแล้ว ก็เข้าไปนั่งอยู่ในห้องข้างหลังนี่  หมอก็วัดความดันโลหิต มันก็ขึ้นไปสูง และไม่ยอมลง ทำไปทำมา ก็ปรากฏว่าเลือดไม่เดิน  เมื่อเลือดไม่เดิน ผู้ที่เคยประสบเหตุการณ์อย่างนี้ ก็คงทราบว่ามันเดือดร้อนแค่ไหน แต่ในที่สุดก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ ซึ่งแต่ก่อนก็ไม่เคยนึกว่าจะเป็น แต่ก็เป็น ก็เลยต้องเข้า โรงพยาบาล

 

ในเวลานั้นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ท่านก็อยู่โรงพยาบาล เพราะว่าทรงมีปัญหาเรื่องพระสุขภาพก็เข้าไปเฝ้า   ตอนแรกนั้นไปเฝ้าไม่ไหวไม่รู้เรื่องเมื่อทราบว่าจะต้องทำปฏิบัติการของแพทย์ แพทย์ก็นำกระดาษชิ้นหนึ่งมา อ่านก็ไม่ค่อยทราบว่าเป็นอะไร แต่ใจความมีว่า ให้อนุญาตให้ปฏิบัติการ แล้วให้ลงชื่อ  แต่หมอไม่ได้บอกให้ลงชื่อ เลยไม่ได้ลง เมื่อไม่ได้ลงชื่อเขาก็จะทำไม่ได้  เขาก็ไปถวายสมเด็จฯ ท่านสมเด็จฯ ท่านไม่ทรงสบายอยู่แล้ว แต่ว่าท่านก็ลงพระนามยินยอมให้แพทย์ปฏิบัติการ  เป็นอันว่าแพทย์ก็ปฏิบัติการเมื่อปฏิบัติการเสร็จแล้ว และรู้ตัวขึ้นมาแล้ว โอ๊ย! สบาย สบายขึ้นมาก หายใจออก ตาก็สว่าง

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว สมเด็จพระบรมราชชนนี ก็ให้นายแพทย์ประจำพระองค์เข็นรถของท่านเข้ามาและท่านก็ยิ้ม แล้วเข้ามาบอกว่า   เอ้อ! ดีใจ ดีใจว่าแข็งแรงดีแล้ว   หลังจากนั้นก็ได้พักผ่อนในโรงพยาบาลอีกระยะหนึ่ง จนกระทั่งแพทย์เห็นว่า ควรจะกลับบ้านได้  ก็ได้ทูลถามสมเด็จพระบรมราชชนนีว่าท่านเองจะเสด็จกลับเมื่อไหร่ ท่านบอกว่า  โอ๊ะ! หมอบอกว่าจะกลับเมื่อไหร่ก็ได้แล้ว แต่คอย  คอยออกไปพร้อมกัน  ท่านบอกว่า  แม่-ลูกจะได้ออกพร้อมกัน  เอ้อ! ดี   ในที่สุด ก็ออกจาก โรงพยาบาลไปส่งเสด็จที่วังสระปทุมก่อน แล้วกลับมา ที่นี่  กลับมาพักผ่อนระยะหนึ่ง

 

ระยะเวลานี้ไม่ค่อยได้ไปเฝ้า เพราะยังเพลียอยู่ แต่ก็สบายขึ้นมาก   มาตอนหนึ่ง หมอแจ้งมาทางโทรศัพท์ว่า สมเด็จฯ ท่าน พระอาการไม่ดี ก็รีบไปเฝ้า  ไปเฝ้าแล้วก็เห็นว่าพระอาการดีขึ้นบ้าง  ท่านลืมพระเนตรขึ้น   ท่านเห็น  เออะ! กลับบ้านไปเสียที มาอยู่นานแล้ว  ก็กลับบ้านแต่วันรุ่งขึ้นหมอก็บอกว่าไม่ดี  ต้องเข้าโรงพยาบาลก็ให้ท่านไปโรงพยาบาล  และไปเฝ้าที่โรงพยาบาล   หลังจากนั้นก็ไปเฝ้าที่โรงพยาบาลเกือบทุกวัน และพระอาการก็ไม่ค่อยดีนัก  ในที่สุด พระอาการไม่ดีขึ้น หมดหนทางที่จะถวายเยียวยา  หมอเขาทำเต็มที่ ก็เยียวยาอะไรไม่ได้ จนสวรรคตแต่ว่าเมื่อสวรรคตก็ดีใจอยู่อย่างว่า ลูกของท่านทั้งสองก็อยู่ด้วย จับพระหัตถ์อยู่และหลานที่ท่านรักที่สุด   เพราะว่าท่านเลี้ยงมา แล้วหลานนั้นก็เลี้ยงท่าน   ก็มาจับพระหัตถ์ด้วย   ก็สามคนท่านก็สวรรคตอย่างสงบ 

 

เป็นอันว่าปีนี้มีเหตุการณ์ไม่ดีหรือหนักอยู่มากอยู่   แต่ว่าสมเด็จฯ ท่านเคยรับสั่งนานมาแล้วอย่างน้อยสิบปี รับสั่งว่า แม่นี่น่ะ เกิดมานานแล้ว ก็แก่มากแล้ว   ตอนนั้นแก่มากคือ 80 กว่าก็นับว่าแก่   แต่ทูลว่าแก่อย่างนี้ดี ยิ่งแก่ยิ่งดี เพราะว่าลูกหลานนี่น่ะ ถ้าพ่อหรือแม่แก่ ก็เป็นกำลังใจสำหรับลูกหลาน ว่าเรามีแม่ที่อายุยืน เราก็คงอายุยืนเหมือนกัน  มีแม่ที่แข็งแรง เราก็คงแข็งแรงเหมือนกัน  ก็เลยทูลว่าแม่ต้องรักษาตัวทูลว่าแม่ต้องเสวย   เพราะตอนนั้นเสวยนิดเดียวก็บอกว่าอิ่มแล้ว   ท่านก็ผอมลงทุกที หมดแรง ไม่หิว   แล้วก็รับสั่งว่าแก่แล้วจะอยู่ทำไม   ก็ทูลว่าอยู่สิเป็นประโยชน์ เป็นกำลังใจสำหรับลูกหลาน  

และนอกจากนี้ท่านรับสั่งว่าเวลาไปที่เขื่อนหรือที่ไหนทำให้คนเขาเดือดร้อนต้องมาเฝ้า   เลยทูลว่าขอรับรองว่าเจ้าหน้าที่เขายินดีทรงเป็นกำลังใจให้เขา  เขาถึงเรียกท่านว่าสมเด็จย่าในที่สุดทรงฟัง แล้วเริ่มเสวยก็แข็งแรงขึ้น   ทรงแข็งแรงขึ้นเป็นลำดับจนถึงคราวที่ประชวรเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ต้องเสด็จประทับโรงพยาบาล.  ก็ไปเฝ้าเกือบทุกวันเมื่อ 4 ปีนั้นกำลังสร้าง อนุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย    วันหนึ่งทำพิธีวางศิลาฤกษ์เสร็จแล้วก็รีบวิ่งรถ ไปเฝ้าที่โรงพยาบาลศิริราช   ก็พอดีทันเวลาเสวย.

 

ท่านรับสั่งว่า   อ้า! ตะกี้อยู่ที่โน่น มาแล้วหรือ   ก็บอกว่ามาแล้วก็ถวายให้เสวยก็ทรงแข็งแรงขึ้น   จนกระทั่งอยู่อีก 4 ปีเป็นกำไรที่ได้   ท่านเข้าพระทัยแล้วว่ายิ่งแก่ยิ่งดีสำหรับแม่หรือใครๆ ที่เรานับถือ เรารัก ถ้าผู้นั้นอายุมาก และโดยเฉพาะอย่างท่าน ถ้าท่านทรงแข็งแรง ท่านรับสั่งรู้เรื่อง ทำงานอะไรๆได้ก็มีประโยชน์  ท่านทรงมีประโยชน์

 

“พระราชดำรัส” ที่จะทำให้คนไทยคิดถึง “มหาราชา” สุดหัวใจ  นับถอยหลังน้อมส่งเสด็จสู่สวรรค์  “แผ่นดินอาลัย คนไทยโศกเศร้า”

“พระราชดำรัส” ที่จะทำให้คนไทยคิดถึง “มหาราชา” สุดหัวใจ  นับถอยหลังน้อมส่งเสด็จสู่สวรรค์  “แผ่นดินอาลัย คนไทยโศกเศร้า”

“ เมื่อสวรรคตก็ทำตามที่ท่านรับสั่งไว้ว่า   แม่แก่แล้ว จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ตายแล้ว ห้ามร้องไห้ ไม่ให้ร้องไห้ เพราะเป็นของธรรมดา คนเราก็ต้องตาย   แต่ว่าตอนหลังนี้ ที่เห็นท่านทรุดลง ทรุดลง ก็รู้สึกว่าท่านจะอยู่ไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากให้ท่านสิ้น  อย่างไรก็ตามเมื่อสิ้นก็เป็นของธรรมดาที่เราอาลัย เป็นของธรรมดาเหมือนกัน” 

 

ฉะนั้นเมื่อท่านสิ้นแล้ว และได้เห็นความรัก ความนับถือ ที่คนทั้งชาติมีต่อท่าน ก็ปลื้มใจ ปลื้มใจว่ามีแม่ที่คนรัก ที่ถือว่าท่านเป็นสมเด็จย่า  ซึ่งก็แปลกดีเหมือนกัน. ถ้าใครต่อใครเรียกว่า สมเด็จย่า คนที่เรียกสมเด็จย่า ก็เป็นหลานๆ ของเรา เป็นหลาน เพราะว่าท่านเป็นแม่ แล้วท่านเป็นย่าของคนทั่วๆ ไป และเป็นสมเด็จย่าของลูกๆ ที่อยู่ข้างหลังนี้  ฉะนั้นเราก็เป็นญาติกันทั้งหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามทุกคนก็รู้สึกว่ามีความอาลัย และทำให้ประชาชนทั้งชาติได้มีโอกาสแสดงความอาลัย. เป็นประโยชน์ จะว่าครั้งสุดท้ายของท่าน ที่จริงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ท่านยังเป็นประโยชน์ต่อไปชั่วกาลนิรันดร์

 

สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้  ร่วมส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่จะอยู่ในใจคนไทยไปตลอดกาล