ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ชมเต็มตาภาพภายใน “ถ้ำเพียงดิน”หรือ “ถ้ำพญานาค”สถานที่ต้องห้ามที่ต้องมีคนนำทางเท่านั้น สวยงามดั่งอยู่กันคนละโลก!! (ชมภาพ)

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ชมเต็มตาภาพภายใน “ถ้ำเพียงดิน”หรือ “ถ้ำพญานาค”สถานที่ต้องห้ามที่ต้องมีคนนำทางเท่านั้น สวยงามดั่งอยู่กันคนละโลก!! (ชมภาพ)

“ถ้ำดินเพียง” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ถ้ำพญานาค” ถูกพบโดย ลุงคำสิงห์ เกศศิริ ซึ่งเดิมเป็นเจ้าของผืนดินบริเวณปากถ้ำ ต่อมาได้ยกที่ให้กับทางวัดศรีมงคล และพัฒนาจนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดหนองคาย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ วัดถ้ำดินเพียง (ถ้ำพญานาค) วัดถ้ำศรีมงคล  ตั้งอยู่ที่ บ้านดงต้อง ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย โดยถ้ำดังกล่าวชาวบ้านในพื้นที่เชื่อว่าเป็นถ้ำพญานาค มีตำนานเล่าขานกันมาว่า ถ้ำแห่งนี้เป็นทางเข้า-ออกของธิดาพญานาคเมื่อครั้งมาเจอเจ้าชายบนโลลกมนุษย์ ต่อมาเมื่อถึงวันออกพรรษาเจ้าชายเดินตามไปพบธิดาพญานาคเล่นน้ำ จึงรู้ว่าเป็นพญานาคจึงขอตัดขาด นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่าถ้ำแห่งนี้เป็นที่เดินทางของพระธุดงด์ที่เป็นผู้บำเพ็ญศีลเป็นพระอภิญญาสามารถเดินข้ามจากฝั่งแม่น้ำโขงมาที่ไทยได้ด้วย แต่ต้องเป็นพระที่มีศีลเก่งกล้าเท่านั้น ล่าสุดสถานที่ดังกล่าวเป็นที่นิยม แต่การจะเข้าไปนั้น ต้องมีผู้เชี่ยวชาญพาเข้าไป มิเช่นนั้นอาจเกิดการหลงทางได้

 สาเหตุที่ได้ชื่อว่าถ้ำดินเพียง เนื่องจากถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำใต้ดินและปากทางเข้าถ้ำอยู่เสมอดินในระดับปกติ ทำให้หลายคนมักเข้าใจว่าเป็นเพียงหลุมธรรมดา ส่วนสาเหตุที่ชาวบ้านเรียกว่า “ถ้ำพญานาค” นั้น ก็เพราะว่าภายในถ้ำนั้นมีโพรงซึ่งมีลักษณะคล้ายรูอยู่มากมาย ซอกซอยแบ่งแยกออกไปทั่วบริเวณ โดยแต่ละรูสามารถเชื่อมทะลุถึงกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ และขนาดรูนั้นก็ใหญ่กว่าตัวคนเพียงเล็กน้อย ดูๆ ไปเหมือนกับเส้นทางการเลื่อยของงูใหญ่หรือพญานาค มากกว่าจะเป็นทางสัญจรของมนุษย์ แถมโพรงเหล่านี้ยังมีน้ำไหลเอื่อยไปตามทางอีกด้วย ประหนึ่งว่าช่วยให้พวกงูเลื่อยไปมาได้สะดวกขึ้น และเมื่อนำมาพิจารณาประกอบกับเรื่องเล่าต่างๆ แล้ว ทำให้เชื่อได้ว่า ถ้ำแห่งนี้ต้องเป็นที่อยู่และที่สัญจรของพญานาคอย่างแน่นอน

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม : ถ้ำพญานาค!! เส้นทางลี้ลับ สู่ประตูเมืองบาดาลของพญานคราช "แม่น้ำโขง" เมืองหนองคาย!!

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ชมเต็มตาภาพภายใน “ถ้ำเพียงดิน”หรือ “ถ้ำพญานาค”สถานที่ต้องห้ามที่ต้องมีคนนำทางเท่านั้น สวยงามดั่งอยู่กันคนละโลก!! (ชมภาพ)

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ชมเต็มตาภาพภายใน “ถ้ำเพียงดิน”หรือ “ถ้ำพญานาค”สถานที่ต้องห้ามที่ต้องมีคนนำทางเท่านั้น สวยงามดั่งอยู่กันคนละโลก!! (ชมภาพ)

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ชมเต็มตาภาพภายใน “ถ้ำเพียงดิน”หรือ “ถ้ำพญานาค”สถานที่ต้องห้ามที่ต้องมีคนนำทางเท่านั้น สวยงามดั่งอยู่กันคนละโลก!! (ชมภาพ)

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ชมเต็มตาภาพภายใน “ถ้ำเพียงดิน”หรือ “ถ้ำพญานาค”สถานที่ต้องห้ามที่ต้องมีคนนำทางเท่านั้น สวยงามดั่งอยู่กันคนละโลก!! (ชมภาพ)

จากเรื่องเล่าในอดีต ณ ถ้ำแห่งนี้ แต่เดิมนั้นเป็นเส้นทางเข้าออกของธิดาพญานาคซึ่งมาหลงรักเจ้าชายของเมืองนี้บนโลกมนุษย์ แต่ครั้นพอถึงวันออกพรรษาธิดาพญานาคต้องกลับสู่เมืองบาดาล เพื่อไปเล่นน้ำกับพญานาคด้วยกัน จนสุดท้ายเจ้าชายตามมาพบและรู้ว่าคนรักของตนเป็นพญานาค เจ้าชายจึงขอตัดขาดจากกันที่ถ้ำแห่งนี้
จากเรื่องเล่าดังกล่าวทำให้ทราบว่า ถ้ำแห่งนี้สามารถใช้เดินทางไปยังเมืองใต้บาดาลของพญานาคซึ่งอยู่ใต้แม่น้ำโขง จึงได้ทีผู้เล่าถึงสิ่งอัศจรรย์ต่อมาอีกว่า...

 ณ ถ้ำแห่งนี้ เป็นเส้นทางที่พระธุดงค์จากเมืองลาวใช้ข้ามฝั่งลอดใต้แม่น้ำโขงมายังเมืองไทย แต่พระที่ผ่านเข้าออกได้จะต้องเป็นพระอภิญญา เป็นผู้มีศีลอันแก่กล้าเท่านั้น จึงจะสามารถมองเห้นเส้นทางสัญจรดังกล่าวได้

แต่ก็มีบ้างที่พญานาคนึกอยากที่จะเปิดบ้านเมืองให้มนุษย์ดู อย่างกรณีเรื่องเล่าของสามเณรรูปหนึ่ง ณ ถ้ำแห่งนี้ สามเณรเห็นว่าบรรยากาศร่มรื่นและดูสงบดี จึงมักจะมานั่งท่องหนังสือสวดมนต์อยู่บริเวณปากถ้ำเป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่งได้มีสามเณรจากที่ใดไม่ทราบเดินออกมาจากถ้ำ และได้เอ่ยชวนให้เข้าไปเที่ยวภายในถ้ำ สามเณรจึงวางหนังสือลงแล้วตัดสินใจเดินตามเข้าไป เมื่อเข้าไปเพียงสองร้อยกว่าเมตรก็ได้พบเสาศิลาขนาดใหญ่ตั้งเป็นแถว สามเณรจึงนับเสาหินไปเรื่อยได้หลายร้อยเมตร ขณะที่เดินนับอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่เบื้องบนศีรษะและมีเสียงเรือวิ่งด้วย จึงถามสามเณรผู้พาเข้าถ้ำว่าเสียงอะไร และได้รับคำตอบว่าข้างบนนั้นเป็นแม่น้ำโขง ถ้ำที่เรากำลังเดินอยู่นี้เป็นถ้ำที่อยู่ใต้แม่น้ำโขง สามารถเดินทะลุไปถึงเวียงจันทร์ได้ จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินมาเรื่อยๆ เดินมาหลายชั่วโมงแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสุดถ้ำ จนกระทั่งเดินมาพบพวงมาลัยที่ห้อยลงมาจากผนังถ้ำ เณรผู้สวดมนต์ก็คว้าพวงมาลัยนั้นเอามาคล้องคอไว้ ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่าตนเองถูกดึงลอยขึ้นไปข้างบน มารู้ตัวอีกทีก็มานอนอยู่บนเรือของคนล่าปลาบึกแล้ว คนในเรือต่างพากันตกใจ ถาเณรว่าไปไงมาไงถึงได้มาอยู่ในน้ำ เณรก็เล่าให้ฟังตั้งแต่ต้น ระหว่างเล่าเณรได้เหลือบไปเห็นเณรผู้พาเข้าถ้ำกลายเป็นปลาบึกยักษ์ไปเสียแล้ว แล้วชาวประมงก็พาเณรมาส่งที่วัด เป็นเรื่องที่เล่าสู่กันฟังเมื่อนานมาแล้ว

ติดตามข่าวที่เกี่ยวข้อง : แม้แต่พญานาคยังต้องย้ายถิ่นเปลี่ยนที่อยู่ เมื่อหลวงปู่ขาวไปธุดงค์ที่ภูถ้ำค้อเพราะเหตุใด?

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ชมเต็มตาภาพภายใน “ถ้ำเพียงดิน”หรือ “ถ้ำพญานาค”สถานที่ต้องห้ามที่ต้องมีคนนำทางเท่านั้น สวยงามดั่งอยู่กันคนละโลก!! (ชมภาพ)

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ชมเต็มตาภาพภายใน “ถ้ำเพียงดิน”หรือ “ถ้ำพญานาค”สถานที่ต้องห้ามที่ต้องมีคนนำทางเท่านั้น สวยงามดั่งอยู่กันคนละโลก!! (ชมภาพ)

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ชมเต็มตาภาพภายใน “ถ้ำเพียงดิน”หรือ “ถ้ำพญานาค”สถานที่ต้องห้ามที่ต้องมีคนนำทางเท่านั้น สวยงามดั่งอยู่กันคนละโลก!! (ชมภาพ)

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ชมเต็มตาภาพภายใน “ถ้ำเพียงดิน”หรือ “ถ้ำพญานาค”สถานที่ต้องห้ามที่ต้องมีคนนำทางเท่านั้น สวยงามดั่งอยู่กันคนละโลก!! (ชมภาพ)

สู่เรื่องเล่าในปัจจุบัน ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ลุงคำสิงห์ เกศศิริ เป็นผู้ค้นพบถ้ำดินเพียงอย่างเป็นทางการ และเป็นหนึ่งในคณะสำรวจถ้ำ เพื่อนำไปสู่การท่องเที่ยวผนวกเข้ากับความเชื่อเรื่องพญานาคที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของหนองคาย ปัจจุบันลุงคำสิงห์ยังเป็นหนึ่งในไกด์นำทางเข้าชมถ้ำดินเพียงอีกด้วย พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับถ้ำแห่งนี้ให้กับนักท่องเที่ยวได้ทราบถึงที่มาที่ไปและความสำคัญของถ้ำ และการที่ลุงคำสิงห์ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับถ้ำนี้นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีที่มาที่น่าสนใจ โดยลุงเล่าประสบการณ์ตรงของตนเองให้ฟังว่า

เมื่อปี พ.ศ. 2530 ลุงได้เข้ามาถากถางทำไร้ที่นี่ อยู่มาวันหนึ่งก็ได้เห็นสัตว์ป่าเที่ยวออกมาเดินหากิน แต่พอเดินเข้ามาใกล้มันก็ผลุบหายลงหลุมไปทันที พร้อมๆ กับมีค้างคาวบินออกมาจากหลุม ก็เลยนึกเอะใจว่าน่าจะมีถ้ำอยู่ข้างในแน่ๆ จึงได้ชวนพรรคพวกลงไปสำรวจกัน แล้วก็ได้เจอดโพรงถ้ำเป็นห้องและคูหามากมาย หลังได้พบถ้ำก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก จนวันหนึ่งได้มาทำไร่แถวนี้อีกและเผลองีบหลับไป แล้วก็ได้ฝันไปว่า มีพญานาคตัวสีเหลืองใหญ่ยาวขึ้นมาจากแม่น้ำโขง บอกให้ลุงช่วยเฝ้าดูแลรักษาถ้ำเพราะเคยเป็นคนเฝ้าถ้ำแห่งนี้มาก่อนเมื่อชาติที่แล้ว “ในตอนแรกลุงไม่เชื่อ แต่จากนั้นไม่กี่วันลุงก็เป็นไข้ป่า รักษาหมอปัจจุบันเท่าไหร่ก็ไม่หาย ลุงเลยไปหาหมอนั่งทางในเขาบอกว่าให้ไปขอขมาพญานาคซะ พอลุงทำตามก็หาย นับจากนั้นลุงเลยมาช่วยดูแลถ้ำ คอยพาคนลงไปเที่ยวชมถ้ำ”

  นับจากที่ลุงคำสิงห์ได้เข้ามาดูแลถ้ำและทำหน้าที่ไกด์ไปด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งได้ร่วมไปกับคณะเดินทางเป็นเวลาถึง 6 วัน พิสูจน์แล้วว่า เส้นทางค้นเคี้ยวในถ้ำสามารถนำไปสู่แม่น้ำโขงได้จริง แต่การเดินทางไปยังจุดนั้นยังยากลำบากอยู่ เนื่องจากสภาพภายในถ้ำมีช่องทางค้นเคี้ยวเลี้ยวลดไปมามากมาย อาจทำให้พลัดหลงได้ง่ายๆ อีกทั้งขนาดของเส้นทางก็แคบมาก ไม่สามารถยืนหรือเดินเข้าไปแบบธรรมดาได้เลย จะต้องก้มตัว มุด ลอด หมอบ คลาน ไปตลอดทาง เรียกว่าต้องเคลื่อนที่ไปให้เหมือนกับงูก็ว่าได้

ปัจจุบันถ้ำเพียงดินเปิดให้เข้าชมทุกวันเป็นระยะทางสั้นๆ ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาทีเท่านั้น ขึ้นอยู่ว่าจะมุดคลานได้เร็วแค่ไหน หรือหากพอมีเวลาและต้องการเที่ยวชมไกลกว่านี้ สามารถแจ้งความประสงค์กับไกด์ได้ ใช้เวลาเดินทางอยู่ที่ประมาณ 2 ชั่วโมง ในส่วนของปากทางเข้าถ้ำคับแคบหน่อยแต่พอมุดเข้าไปได้ ส่วนทางออกจะต้องปีนบันไดขึ้นไป

 หากผู้ใดต้องการพิสูจน์ให้เห็นกับตาและสัมผัสเมืองบาดาลอย่างใกล้ชิด ควรศึกษาเส้นทางภายในถ้ำและเคารพกฏิกาอย่างเคร่งครัด อาทิ ก่อนเข้าถ้ำให้จุดธูปของอนุญาตก่อน ห้ามใส่รองเท้าเข้าถ้ำ เข้าถ้ำแล้วห้ามบ้วนน้ำลาย ห้ามปัสสาวะ และห้ามส่งเสียงดัง เป็นต้น รวมถึงทุกคณะต้องไกด์นำทาง ห้ามเข้าไปเองโดยเด็ดขาด ซึ่งจุดที่ไกด์นำชมนั้นมีชื่อเรียกว่า “ศาลาพันห้อง” แบ่งออกเป็น 8 ห้อง บางห้องสามารถสักการบูชาอธิษฐานขอพรได้

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ชมเต็มตาภาพภายใน “ถ้ำเพียงดิน”หรือ “ถ้ำพญานาค”สถานที่ต้องห้ามที่ต้องมีคนนำทางเท่านั้น สวยงามดั่งอยู่กันคนละโลก!! (ชมภาพ)

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ชมเต็มตาภาพภายใน “ถ้ำเพียงดิน”หรือ “ถ้ำพญานาค”สถานที่ต้องห้ามที่ต้องมีคนนำทางเท่านั้น สวยงามดั่งอยู่กันคนละโลก!! (ชมภาพ)

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ชมเต็มตาภาพภายใน “ถ้ำเพียงดิน”หรือ “ถ้ำพญานาค”สถานที่ต้องห้ามที่ต้องมีคนนำทางเท่านั้น สวยงามดั่งอยู่กันคนละโลก!! (ชมภาพ)

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ชมเต็มตาภาพภายใน “ถ้ำเพียงดิน”หรือ “ถ้ำพญานาค”สถานที่ต้องห้ามที่ต้องมีคนนำทางเท่านั้น สวยงามดั่งอยู่กันคนละโลก!! (ชมภาพ)

 

ภาพ : ทีวีพูลออนไลน์

เรียบเรียง : Suya ทีนิวส์