- 22 ก.ย. 2561
คนไทยไม่มีวันลืม เปิดทุกคำพูด"สมรักษ์"วินาทีคว้าเหรียญทองโอลิมปิก ก่อนได้เข้าเฝ้าถวายเหรียญทองให้"ในหลวงร.9"ด้วยความภาคภูมิใจ (คลิป)
ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศ เรื่อง ให้พิทักษ์ทรัพย์ของ นางเสาวนีย์คำสิงห์ จำเลยที่ 1, นายสมรักษ์ คำสิงห์ จำเลยที่ 2 เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 โดยบริษัท บริหารสินทรัพย์ มหานคร จำกัด ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของจำเลย
ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรื่อง คําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดคดีหมายเลขแดงที่ ล.๓๐๕๓/๒๕๖๑ กองบังคับคดีล้มละลาย ๓ศาลล้มละลายกลาง กรมบังคับคดีกระทรวงยุติธรรมด้วย บริษัท บริหารสินทรัพย์ มหานคร จํากัด โจทก์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้จําเลยทั้งสองล้มละลาย และศาลได้มีคําสั่งลงวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของ นางเสาวนีย์คําสิงห์จําเลยที่ ๑ , นายสมรักษ์ คําสิงห์ จําเลยที่ ๒ เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช๒๔๘๓ แล้ว
จําเลยที่ ๑ เลขประจําตัวประชาชน ๕-๔๐๙๙-๙๙๐๓๘-๒๓-๖ เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม๒๕๑๖ มีภูมิลําเนาอยู่บ้านเลขที่ ๒๐๐/๒๑ ถนนนวมินทร์ แขวงนวมินทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานครจําเลยที่ ๒ เลขประจําตัวประชาชน ๓-๔๐๑๐-๐๐๕๓๖-๑๒-๓ เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม๒๕๑๖ มีภูมิลําเนาอยู่บ้านเลขที่ ๒๐๐/๒๑ ถนนนวมินทร์ แขวงนวมินทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร
ดังนั้น นับแต่วันที่ศาลมีคําสั่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว มีอํานาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของจําเลย ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓อนึ่ง เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชําระหนี้ในคดีนี้ จะเป็นโจทก์หรือไม่ก็ตาม ต้องยื่นคําขอรับชําระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ฝ่ายคําคู่ความ สํานักงานเลขานุการกรม กรมบังคับคดี หรือ สํานักงานบังคับคดีซึ่งจําเลยมีภูมิลําเนาอยู่ ภายในกําหนดเวลา ๒ เดือน นับแต่วันที่โฆษณาคําสั่งนี้ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กําหนดวันลงโฆษณาในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งตรวจได้จากเว็บไซต์ของกลุ่มงานราชกิจจานุเบกษาที่www.ratchakitcha.soc.go.th
ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑
กนกพร เลิศวรญาณ
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ล่าสุด สมรักษ์ เปิดเผยต่อเรื่องดังกล่าว โดยเจ้าตัวชี้แจงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นคดีเก่าที่ค้างคามาหลายสิบปีแล้ว ตั้งแต่สมัยยังเป็นนักชกมวยสมัครเล่น มีสาเหตุจากความไม่รู้ ไม่เชี่ยวชาญในเอกสารต่าง ๆ และการทำธุรกิจ หลังไปเซ็นเอกสารเรื่องธุรกิจเปิดปั๊มน้ำมันให้พ่อตาและแม่ยายที่จังหวัดชัยภูมิ แต่เมื่อกิจการไปไม่รอด ก็ขาดทุนกลายเป็นหนี้สิน จนกลายเป็นคดียืดเยื้อจนถึงปัจจุบัน สมรักษ์ เผยว่า หลังจากที่ธุรกิจดังกล่าวขาดทุน ตนไม่รู้รายละเอียดจนปล่อยให้เป็นหนี้สินลามไปถึงเรื่องบ้าน ต้องเป็นหนี้ราว 4 ล้านกว่าบาท
อย่างไรก็ตามขณะนี้ตนยังไม่มีปัญหาอะไร ยังคงแฮปปี้ดีในทุกวันนี้ และอยากให้ดูตัวอย่างจาก เขาทราย แกแลคซี่ ที่เคยประสบปัญหาเดียวกันมาก่อน แต่แค่ 3 ปีก็ตั้งตัวขึ้นมาใหม่ได้ ชีวิตตอนนี้ก็มีความสุขดี ทั้งนี้ สมรักษ์ อยากฝากขอบคุณถึงแฟน ๆ ที่เป็นห่วง และเผยว่าขณะนี้มีลูกพี่ และมีเจ้านายที่ยินดีช่วยเหลือ แม้ตนจะถูกฟ้องล้มละลายก็ตาม นอกจากนี้ลูกสาวและลูกชายก็เติบโตแล้ว มีงานทำ มีรายได้เดือนละแสนกว่าบาทมาช่วยให้ครอบครัวอยู่รอด ส่วนตัวเองก็มีงานละครและงานกิจกรรมต่าง ๆ จึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
นาวาตรี สมรักษ์ คำสิงห์ ร.น. เป็นนักกีฬาทีมชาติไทยคนแรก ที่ได้รับรางวัลเหรียญทอง จากการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่น ในกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 26 ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2539
สมรักษ์ เป็นชาวหมู่บ้านโนนสมบูรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น (ปัจจุบันคือ อำเภอบ้านแฮด) เกิดเมื่อวันที่ 16 มกราคมพ.ศ. 2516 ในครอบครัวยากจน เป็นบุตรคนกลาง ในจำนวนลูกทั้ง 3 คน ของ นายแดงและนางประยูร คำสิงห์ เหตุที่มีชื่อเล่นว่า "บาส" ก็เพราะต้องการให้คล้องกับชื่อเล่นของพี่ชายซึ่งเป็นนักมวยด้วยเหมือนกัน คือ สมรถ คำสิงห์ ที่มีชื่อว่า "รถ" เนื่องจาก คลอดบนรถโดยสาร ระหว่างเดินทางไปสถานีอนามัยอำเภอ
สมรักษ์เข้าเรียนครั้งแรกที่โรงเรียนมหาไถ่ศึกษาโนนสมบูรณ์ ด้วยเหตุที่สมรักษ์มีพ่อเป็นนักมวยเก่า จึงได้รับการฝึกการชกมวยไทยมาตั้งแต่เด็ก ขึ้นชกมวยครั้งแรกขณะอายุได้ 7 ปี และได้ตระเวนชกตามเวทีงานวัดต่าง ๆ จนทั่ว และได้รับการทาบทามจาก ณรงค์ กองณรงค์ หัวหน้าคณะณรงค์ยิมให้มาร่วมค่าย สมรักษ์จึงขอขึ้นชกมวยไทยในชื่อ สมรักษ์ ณรงค์ยิม และกลายเป็นนักมวยมีชื่อในแถบจังหวัดขอนแก่น
ต่อมา ณรงค์กับนายแดงพ่อของสมรักษ์เกิดแตกคอกัน สมรักษ์จึงย้ายไปอยู่ค่ายศิษย์อรัญ เข้ามาชกมวยในกรุงเทพฯ ได้ไปเรียนที่ โรงเรียนผะดุงศิษย์พิทยา โดยชกทั้งมวยไทย และมวยสากลสมัครเล่น สมรักษ์ขึ้นชกมวยไทยในชื่อ "พิมพ์อรัญเล็ก ศิษย์อรัญ" แต่พอสมรักษ์ขึ้น ม.2 พ่อก็ถึงแก่กรรม
ในเส้นทางมวยไทย สมรักษ์ตระเวนชกตามเวทีต่างทั้ง ชลบุรี สำโรง อ้อมน้อยจนกระดูกแข็ง เจนสังเวียนมากขึ้นจึงขึ้นชกมวยที่เวทีมาตรฐานทั้งเวทีราชดำเนินและเวทีลุมพินี มีโอกาสขึ้นชกกับนักมวยชื่อดังยุคนั้นหลายคน เช่น ชาติชายน้อย ชาวไร่อ้อย, ช้างน้อย ศรีมงคล, บัวขาว ป.พิสิษฐ์เชษฐ์, ฉมวกเพชร ช่อชะมวง แต่ไม่เคยได้แชมป์มวยไทยของเวทีใด จนปี พ.ศ. 2538 จึงขึ้นชกมวยไทยครั้งสุดท้าย ชนะน็อค สุวิทย์เล็ก ส.สกาวรัตน์ ยก 4 แล้วจึงหันมาเอาดีด้านมวยสากลสมัครเล่นอย่างเดียว ค่าตัวสูงสุดที่ได้รับจากการชกมวยไทยอยู่ที่ราว 180,000 บาท จัดเป็นนักมวยเงินแสนคนหนึ่ง
สมรักษ์เริ่มเข้าแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นในนามของโรงเรียน เมื่อปี พ.ศ. 2528 เมื่ออายุ 12 ปี โดยมีพิกัดน้ำหนัก 52 กิโลกรัมเมื่อสมรักษ์จบ ม.6 จากโรงเรียนผดุงศิษย์ฯ ได้รับการทาบทามจากสโมสรราชนาวีให้ชกมวยสากลสมัครเล่นในนามของสโมสรและจะบรรจุให้เข้ารับราชการในกองทัพเรือด้วย สมรักษ์จึงตอบตกลง สมรักษ์ประสบความสำเร็จได้ทั้งแชมป์ประเทศไทยและเหรียญทองกีฬาแห่งชาติ
สมรักษ์ เข้าสู่ทีมชาติครั้งแรก ในการแข่งขันโอลิมปิก ที่บาร์เซโลนา ในปี พ.ศ. 2535 แต่ตกรอบแรก พ.ศ. 2536 ได้เหรียญทองมวยทหารโลกที่ประเทศอิตาลี แต่ไม่ได้ติดทีมชาติไปแข่งกีฬาซีเกมส์ในปีนั้นเพราะไม่พร้อม สมรักษ์เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาเป็นครั้งแรก จากการเป็นนักกีฬาไทย ที่ได้เหรียญทองเพียงคนเดียว ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 12 ในปี พ.ศ. 2537 ที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นเกือบจะถูกตัดสิทธิ์เพราะตรวจสมรรถภาพร่างกายไม่ผ่านในครั้งแรก (ภายหลังสภาโอลิมปิคเอเชีย ได้กลับคำตัดสิน โดยให้ รัฐพงศ์ ศิริสานนท์ นักว่ายน้ำ ได้ 2 เหรียญทอง)
ภายหลังจากได้เหรียญทองแล้ว สมรักษ์กลายเป็นบุคคลชื่อดังไปในทันที กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ในเวลาไม่นาน ด้วยความเป็นคนมีบุคคลิกเฮฮา มีสีสัน น่าสนใจ ภายหลังจากกลับมาจากโอลิมปิคที่แอตแลนต้าแล้ว สมรักษ์ก็มีงานในวงการบันเทิงเข้ามา เริ่มจาก ละครเรื่อง "นายขนมต้ม" ทางช่อง 7 ที่รับบทเป็นนายขนมต้มพระเอกเอง โดยประกบคู่กับ กุลณัฐ ปรียะวัฒน์ นางเอก และเพื่อน ๆ นักมวยรุ่นพี่อีกหลายคน
และนับแต่นั้นมา สมรักษ์ก็มีสถานะเหมือนเป็นดาราคนหนึ่ง มีงานต่าง ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้สมรักษ์เอาใจใส่ในการชกมวยน้อยลง จนมีข่าวว่าซ้อมน้อยลงบ้าง หนีซ้อมบ้าง แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังยืนยันว่าฝีมือของตัวเองยังคงเหมือนเดิม ถึงขนาดกล้าทำนายผลการชกล่วงหน้า ซึ่งก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง จนได้ฉายาว่า "โม้อมตะ" แต่หลังจากได้รับเหรียญทองกีฬาเอเชียนเกมส์ใน ปี พ.ศ. 2541 แล้ว การชกครั้งหลังจากนี้ สมรักษ์ไม่ประสบความสำเร็จเลย โดยตกรอบสาม ในการแข่งขันโอลิมปิกที่ซิดนีย์ ปี พ.ศ. 2543 และตกรอบแรกในโอลิมปิก ที่กรุงเอเธนส์ ปี พ.ศ. 2547 ทำให้เลิกชกมวยสากลสมัครเล่นอย่างเด็ดขาด
ปัจจุบัน สมรักษ์ยังคงมีงานในวงการบันเทิง มีผลงานออกมาเป็นระยะ ๆ
ซึ่งมีคลิปวีดีโอที่ถูกแชร์ไปทั่วโลกโซเชียล เป็นสกู๊ปบทสัมภาษณ์ของ สมรักษ์ หลังจากที่พาเหรียญทองโอลิมปิกกลับบ้าน โดยเจ้าตัวได้เผยความภาคภูมิใจมากๆ วินาทีที่ได้เหรียญทองนึกถึงในหลวงร.9 ก่อนเป็นอันดับแรก ถือว่าเป็นชัยชนะของคนทั้งประเทศ และพอกลับมาแล้วก็ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและถวายให้กับในหลวงจริงๆ
ขอบคุณเจ้าของคลิป กันต์ ศรีภักดี