- 06 พ.ย. 2561
"ไม่ต่างอะไรกับทิ้งสุนัขเเละเเมว" หลวงพ่อ ตอบเเล้ว ปัญหาเรื้อรังทิ้งผู้ป่วยเอดส์มียาวนานมากว่า 20 ปี!
ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับจริงๆว่า จำนวนผู้ติดเชื้อ HIV มีจำนวนสูงขึ้นเรื่อยๆในประเทศไทย นับเป็นปัญหาเรื้อรังที่ยากต่อการเเก้ไข เเละ จากกรณีนี้เองจึงเกิดเป็นเหตุการณ์ที่วัดพระบาทน้ำพุ วัดที่ทุกคนทราบกันดีอยู่เเล้วว่า เป็นวัดที่รักษาพักฟื้นผู้ติดเชื้อ เเละผู้ป่วยโรคดังกล่าวและเป็นที่ตั้งของมูลนิธิธรรมรักษ์
เกิดเป็นกระเเสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก กรณี เพจเฟซบุ๊ก วัดพระบาทน้ำพุ ที่โพสต์ระบุไว้ว่า "การนำผู้ป่วยมาทิ้งไว้ข้างกำแพงหน้าวัดอาจเป็นทางเลือกที่ง่าย แต่เป็นทางเลือกที่ไม่เป็นผลดีสำหรับคนไข้ ปัจจุบันโรคเอดส์สามารถรักษาและควบคุมอาการได้หากผู้ป่วยได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลใกล้บ้านทุกแห่งทั่วประเทศ"
สำหรับวัดพระบาทน้ำพุ เริ่มต้นรับรักษาและฟักฟื้นผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์ครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2535 และดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ผู้ริเริ่มโครงการคือเจ้าอาวาส พระราชวิสุทธิประชานาถ (อลงกต ติกฺขปญฺโญ) การดำเนินการเกี่ยวกับโรคเอดส์มีสองส่วน ส่วนแรกคือรับดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยโรคเอดส์ทั่วไปจากทั่วประเทศ
ส่วนที่สองคือการรับอุปการะเด็กกำพร้าที่ได้รับผลกระทบโรคเอดส์จากบิดามารดา ทั้งสองส่วนอยู่ในการดูแลของวัดประมาณ 2,000 คน แบ่งเป็นเด็กประมาณ 1,300 คน ในแต่ละเดือนวัดจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 4 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าอาหาร ยารักษาโรค ค่าบริหารจัดการภายในวัด และค่าเผาศพ ปัจจุบันได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลไทยเดือนละ 100,000 บาท ส่วนที่เหลือเป็นการรับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา ส่วนยาต้านไวรัสเอดส์และอาสาสมัครได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ
เเละจากกรณีดังกล่าวนี่เอง ทำให้วัดต้องรับภาระอย่างหนัก กระเเสโซเชียลจึงเข้ามาคอมเมนต์เเสดงความคิดเห็นถึงปัญหาดังกล่าวกันอย่างต่อเนื่อง
เเละล่าสุด พระราชวิสุทธิประชานาถ (หลวงพ่ออลงกต) เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี ชี้แจงว่า กรณีการทิ้งผู้ป่วยไว้บริเวณหน้าวัด เป็นปัญหาของวัดมากว่า 20 ปีแล้ว ซึ่งก็มักจะมีผู้ป่วยถูกทอดทิ้งอย่างนี้อยู่เสมอ โดยประเด็นของการทอดทิ้ง ก็จะแตกต่างกันไป อย่างในกรณีนี้ เป็นเพื่อนบ้านที่นำส่งมารักษาตัวที่วัด ส่วนครอบครัวของผู้ป่วย ทราบมาว่าผู้ป่วยมีลูกชาย 1 คน แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพื่อนบ้านจึงเอามาส่งไว้ที่วัด ซึ่งทางวัดก็เข้าใจและรู้สึกเห็นใจ เพราะคนที่นำมาทิ้งไว้ คงไม่อยากยุ่งยากที่ต้องมารับผิดชอบชีวิตผู้ป่วย ซึ่งหากมาทิ้งไว้ เจ้าหน้าที่ก็มารับเข้าไปดูแลเอง แต่ปัญหาที่ตามมา คือ ผู้ป่วยที่ไม่มีญาติรับรอง เช่น บัตรประชาชน วัดก็จะไม่มีประวัติการรักษา เพราะวัดต้องดำเนินการรักษาตัวให้กับผู้ป่วยด้วย ซึ่งวัดต้องเสียเวลาตรวจสอบประวัติ เช็กข้อมูลของญาติและประวัติการรับการรักษา รวมถึงโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ส่งผลให้เกิดความยุ่งยากในการคัดกรอง เช่น บางรายป่วยเป็นวัณโรค มาอยู่รวมกับผู้ป่วยคนอื่น อาจทำให้เชื้อแพร่กระจายไปสู่ผู้ป่วยคนอื่นได้ แต่หากมีประวัติการรักษา ทางวัดก็จะได้รู้ว่าควรดูแลผู้ป่วยอย่างไรต่อไป ถึงแม้ว่าวัดจะยินดีรับผู้ป่วยทุกคน แต่ก็ต้องการขอความร่วมมือครอบครัวผู้ป่วย ให้เป็นผู้นำคนป่วยมาเอง ซึ่งแม้บางครั้งญาติจะไม่อยากรับภาระหรือจ้างวานคนอื่นมาส่ง ทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะซึมเศร้า รับไม่ได้ที่ถูกรังเกียจทอดทิ้ง อีกทั้งเจ้าอาวาส วัดพระบาทน้ำพุ ยังระบุต่อว่า จากกระแสสังคมที่มองว่า การทิ้งผู้ป่วยไว้ที่วัดนั้น ไม่ต่างจากทอดทิ้งแมวหรือสุนัขไว้ตามวัด จึงอยากให้มองในมุมของคนมีน้ำใจ พาผู้ป่วยไปส่งถึงหน้าวัด แม้เขาไม่ใช่ญาติ แต่เขาก็ทำความดี ด้วยการนำผู้ป่วยไปส่ง ตนไม่อยากให้มองว่าเป็นการทอดทิ้ง เพราะบุคคลเหล่านั้น รับรู้เพียงแค่ว่าเป็นผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์ และกำลังจะตาย อย่างไรก็ตาม พามาที่วัดย่อมดีกว่าทิ้งไว้ตามข้างทาง
จะเห็นได้ว่า เมื่อคนมีความทุกข์ที่พึ่งพิง สุดท้ายที่มักจะนึกถึงก็คือวัดนั่นเอง!
ขอขอบคุณ เพจเฟซบุ๊ก วัดพระบาทน้ำพุ ,อมรินทร์ทีวี