"วัฒนา" รักจำนำข้าวยิ่งชีพ ! ย้ำตั้งใจช่วยชาวนา -โต้ครหาโกง ไม่เกี่ยวนโยบาย พลาดมาจากภาคปฏิบัติ

ติดตามข่าวสารข้อมูล www.tnews.co.th

 

"วัฒนา เมืองสุข" เผยโครงการรับจำนำข้าว จำเป็นต้องแทรกแทรกตลาดเพื่อช่วยชาวนา ไม่แปลกราคารับจำนำสูงกว่าตลาด -โต้ โดนกล่าวเรื่องโกงความชื้น โกงน้ำหนัก มาจากภาคปฏิบัติไม่ใช่นโยบาย 

 

 

วันนี้ ( 3 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า    นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมช.พาณิชย์ และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเริ่มทำการไต่สวนตามที่ ป.ป.ช. กล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 15 ม.ค.กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวในทุกขั้นตอน และมีการกำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกที่สูงกว่าราคาตามท้องตลาด ซึ่งบิดเบือนกลไกตลาด ว่า โครงการดังกล่าวเป็นการแทรกแซงตลาดข้าวเปลือกเพื่อช่วยเหลือชาวนา ตามเป็นนโยบายสาธารณะทางเศรษฐกิจตามมาตรา 84 (8) ของรัฐธรรมนูญ 2550 ที่บัญญัติให้รัฐต้อง “คุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรในการผลิตและการตลาด ส่งเสริมให้สินค้าเกษตรได้รับผลตอบแทนสูงสุด” มีผลเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้เกษตรกรมีกำลังซื้อเพื่อให้เกิดการบริโภค จึงไม่ใช่การค้าขายโดยรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ ดังนั้นการตั้งราคารับจำนำสูงกว่าตลาดจึงเป็นความตั้งใจช่วยเหลือเพื่อชาวนา แต่การระบายหรือการขายต้องเป็นไปตามราคาตลาด ที่อาจสูงหรือต่ำกว่าราคาที่รับจำนำมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องกำไรหรือขาดทุนตามที่หลายฝ่ายพยายามบิดเบือน แต่อาจจะมีผลต่อรายรับ รายจ่าย หรือเงินทุนหมุนเวียนของโครงการ

 

 

 


          “นโยบายดังกล่าวคือนโยบายทางเศรษฐกิจซึ่งทุกโครงการจะต้องมีค่าใช้จ่าย แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของโครงการ ส่วนจะมีความคุ้มค่าหรือไม่จะมีความเห็นที่แตกต่างกันเสมอ เช่นเดียวกันกับนโยบายทางด้านเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น โครงการเช็คช่วยชาติของรัฐบาลอภิสิทธิ์ หรือโครงการช็อปปิ้งเพื่อชาติ ซื้อสินค้าก่อนสิ้นปีหักลดหย่อนภาษีได้ 15,000 บาทของรัฐบาลนี้ ที่มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและเห็นต่าง ฝ่ายหนึ่งอาจเห็นว่าคุ้มค่า ในขณะที่อีกฝ่ายอาจเห็นว่ามีแต่ความเสียหายที่ไม่ควรทำเลยก็ได้ ความเห็นที่เป็นนโยบายจึงมักอยู่ในกระบวนการนำเสนอต่อประชาชนในรูปแบบการหาเสียง เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้เลือกมากกว่าเป็นการตัดสินว่าผิดหรือถูก ซึ่งเป็นกระบวนการปกติของระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้โครงการที่มุ่งช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อยก็ไม่เคยถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายมาก่อน” นายวัฒนากล่าว

 

 

 


          นายวัฒนา กล่าวอีกว่า ในส่วนข้อกล่าวหาว่ามีความเสียหายหรือเกิดการทุจริต เช่นว่าเป็นการโกงความชื้น โกงน้ำหนักข้าว มีการสวมสิทธิ์ นำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์ มีความเสียหายจากการเก็บรักษา ข้าวเสื่อมสภาพ การระบายทำได้ล่าช้าหรือมีการทุจริตในการระบาย ล้วนเป็นข้อกล่าวหาในเรื่องงานด้านปฏิบัติการหรือการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ แต่ไม่ใช่ความผิดพลาดในการกำหนดนโยบาย ดังนั้นเมื่อมีข้อทักท้วงจากหลายฝ่ายรัฐบาลจึงเลือกใช้มาตรการทั้งหลายตามที่จำเป็นเพื่อป้องกันความเสียหาย หรือป้องกันการทุจริตแทนการยกเลิกโครงการ ทั้งนี้โครงการที่เป็นนโยบายทางเศรษฐกิจจึงต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในภาพรวม ไม่อาจพิจารณาความคุ้มค่าหรือความเสียหายของโครงการที่ค่าใช้จ่ายของรัฐตามลำพัง

 

 

 


          นายวัฒนา เผยอีกว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกรวม 5 ฤดูกาลผลิต จ่ายเงินให้กับชาวนาโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) เป็นผู้โอนเงินเข้าบัญชีชาวนาโดยตรงจำนวน 878,209 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการประสบความสำเร็จทำให้ชาวนามีกำลังซื้อส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม อีกทั้งยังมีหลักฐานแสดงความสำเร็จของโครงการในระหว่างการดำเนินการในปีงบประมาณ 2555-2557 เมื่อเปรียบเทียบกับรัฐบาลก่อนหน้านี้ ในปีงบประมาณ 2552-2554 ที่ใช้นโยบายประกันราคา ดังนี้ 1.รายได้การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรในปีงบประมาณ 2555-2557 เก็บได้เฉลี่ยปีละ 1,793,759.25 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2552-2554 เก็บได้เฉลี่ยปีละ 1,306,693.22 ล้านบาท รายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 397,057.03 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.38 ต่อปี 2.รายได้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมสรรพากรในปีงบประมาณ 2555-2557 เก็บได้เฉลี่ยปีละ 678,781.11 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2552-2554 เก็บได้เฉลี่ยปีละ 503,920.75 ล้านบาท รายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 174,860.36 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.70 ต่อปี

 

 

 


          นายวัฒนา กล่าวว่า 3.ยอดเงินฝากในธนาคารพาณิชย์หรือเงินออมภาครัฐ ภาคธุรกิจและบุคคลธรรมดาในปี 2554 จำนวน 7,990,823 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2557 มียอดเงินฝากรวม 12,010,370 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,019,547 ล้านบาท หรือประเทศมีเงินออมเพิ่มขึ้นร้อยละ 50.30 และ 4. อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในปี 2557 อยู่ที่ร้อยละ 46.32 ซึ่งต่ำกว่าร้อยละ 50 อันเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย โดย GDP ของปี 2557 จำนวน 12,141,100 ล้านบาท ในขณะที่ GDP ของปี 2554 จำนวน 10,540,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,601,000 ล้านบาท หรือ GDP เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.81

 

 

 


          “ดังนั้นการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกจึงอยู่ในกรอบของวินัยการเงินและการคลังทุกประการ รัฐสามารถรักษาดุลการคลังโดยดูแลให้รายจ่ายสาธารณะและข้อผูกพันทางการเงินของรัฐบาลทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับขีดความสามารถในการหารายได้ของรัฐบาล ทำให้รัฐมีเสถียรภาพทางการคลัง ข้อกล่าวหาที่ว่าการดำเนินโครงการมีผลขาดทุนสูงมาก ทำให้รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณชดเชยผลการขาดทุน ต้องกู้เงินเพิ่มขึ้นส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศสูงขึ้นก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบการคลังของประเทศ จึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและเป็นความเท็จทั้งสิ้น” นายวัฒนา กล่าว