- 15 ม.ค. 2559
ติดจามข่าวสารเพิ่มเติม www.tnews.co.th
"อดีต รมช.พาณิชย์" สนับสนุนอีกเสียง !! เชียร์ให้ "รัฐบาล" รับซื้อยางพารา ก่อนที่ราคาจะดิ่งลงเหว เเนะ ทุกฝ่ายให้เลิกอคติหยุดบิดเบือน หวังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร เผย รู้สึกตื้นตันมาก ที่รัฐบาลเข้าไปช่วยอุ้มชาวสวนยาง
วันนี้(15 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายยรรยง พวงราช อดีต รมช.พาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊คส่วนตัว "Yanyong Puangraj" ระบุว่า ขอเชียร์ให้รัฐบาลรีบรับซื้อยางพาราเพื่อช่วยเหลือชาวสวนยาง ก่อนราคาดิ่งตกเหว
ทั้งนี้ มาตรการรับซื้อยางโดยตรงจากชาวสวนยางเป็นคำเฉลยคำตอบว่า การรับจำนำข้าวเพื่อช่วยชาวนาเป็นการทำหน้าที่ของรัฐที่ถูกต้องเหมาะสมและจำเป็น ผมขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายเลิกอคติ และหยุดบิดเบือนและประทับตราบาปว่า การช่วยเหลือเกษตรกรไม่ว่าจะเป็นการรับจำนำข้าว หรือรับซื้อยาง เป็นประชานิยมที่เลวร้าย
ผมรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากที่ได้รับทราบข่าวว่า รัฐบาลได้ตัดสินใจให้การช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง โดยจะเข้าไปรับซื้อยางจากเกษตรกรโดยตรงในราคาสูงกว่าราคาตลาด แต่ไม่เกินกิโลกรัมละ 45 - 60 บาท จำนวนไม่เกิน 1 แสนตัน ซึ่งผมเข้าใจว่า รัฐบาลชุดนี้ได้ตระหนักแล้วว่าการช่วยเหลือเกษตรกรเป็นภารกิจและหน้าที่พื้นฐานที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของรัฐ และรัฐบาลชุดนี้ได้ก้าวข้ามกับดักประชานิยมได้แล้ว
ที่ผมดีใจอีกอย่างคือ รัฐบาลเริ่มเข้าใจถูกต้องว่า สภาพของปัญหาที่แท้จริงคือเรื่องตลาดและราคายางที่ตกตํ่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ที่รัฐบาลออกมารับซื้อก็เพื่อปรับกลไกตลาดให้เกิดสมดุล เพราะผลผลิตทั้งโลกประมาณปีละ 12.8 ล้านตัน ในขณะที่มีการใช้ยางปีละประมาณ 12.2 ล้านตัน ผลผลิตในไทยปีละประมาณ 4.5 ล้านตัน ส่งออกปีละประมาณ 3.7 ล้านตัน จึงมีอุปทานส่วนเกิน (surplus supply) คือ ปริมาณผลผลิตมากกว่าการใช้อยู่ประมาณปีละ 7 - 9 แสนตัน ซึ่งเป็นตัวฉุดราคาสินค้าเกษตรชนิดนั้นให้ตกตํ่าทั้งหมด (Marginality Theory) ซึ่งมีผลเหมือนกันทั้งยางพารา และข้าว
การที่รัฐบาลเข้าไปรับซื้อยางหรือรับจำนำข้าวจากเกษตรกร เป็นการสร้างแรงกดดันให้พ่อค้าหรือผู้ใช้ไม่ให้กดราคาเกษตรกร เพราะรัฐเข้ามาช่วยอุ้มสต็อกส่วนเกินไว้ ขณะเดียวกันก็ต้องแย่งรับซื้อยางหรือข้าวแพงขึ้น เพื่อให้มีวัตถุดิบเพียงพอที่จะใช้หรือบริโภค ดังจะเห็นได้จากราคาข้าวเปลือกเจ้า 5% ช่วงที่ไม่มีโครงการรับจำนำราคาตลาดเฉลี่ยประมาณตันละ 6,000 - 7,500 บาท แต่เมื่อมีโครงการรับจำนำสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะมีราคาสูงขึ้นเป็นตันละ 9,000 - 11,500 บาท
เหตุผลที่ผมเชียร์ให้รัฐบาลรีบออกไปรับซื้อยางจากเกษตรกรโดยตรง ก็เพราะเป็นมาตรการที่มีลักษณะเช่นเดียวกับการรับจำนำข้าวช่วยชาวนาแทบทุกประการ ซึ่งพอสรุปง่ายๆ ดังนี้ 1.เป็นมาตรการแทรกแซงราคาที่ต้องการกดดันให้ราคาสูงขึ้น โดยรัฐเข้าไปอุ้มเกษตรกรโดยการรับซื้อในราคานำตลาด (เช่นราคาตลาดแผ่นยางดิบ กก.ละ 32 บาท รัฐบาลรับซื้อ กก.ละ 45 - 60 บาท) เป็นการเพิ่มทางเลือก และอำนาจต่อรองให้เกษตรกร 2.ทำให้เงินถึงมือเกษตรกรโดยตรง โดยการรับซื้อหรือรับจำนำจากเกษตรกรโดยตรงโดยไม่ผ่านคนกลาง ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนเร็วขึ้นและมากขึ้น
แต่มีข้อแตกต่างกันคือ การรับจำนำข้าวเกษตรกรมีสิทธิไถ่ถอนภายใน 4 เดือน แต่การรับซื้อยางพาราเกษตรกรไม่มีสิทธิไถ่ถอน เพราะเป็นการโอนสิทธิเด็ดขาดให้รัฐไปเลย
ผมเห็นว่าการรับซื้อยางพาราจะประสบความสำเร็จคือสามารถผลักดันให้ราคายางสูงขึ้นได้ต้องรับซื้อในราคาสูงและในปริมาณที่มากพอ (เทียบกับอุปทานส่วนเกินที่มีอยู่ประมาณ 7 - 9 แสนตัน) ทำนองเดียวกับที่ต้องรับจำนำข้าวปริมาณมาก พูดง่ายๆ คือ ต้องใช้ยาแรง
ผมจึงขอเสนอให้รัฐบาลรับซื้อยางในราคาสูง (กก.ละ 45 - 60 บาท น่าจะเหมาะสม) แต่ถ้ารับซื้อเพียง 1 แสนตัน น่าจะไม่พอ เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันมีอุปทานส่วนเกินค่อนข้างสูง (คาดว่าประมาณ 7 - 9 แสนตัน) และเกษตรกรชาวสวนยางที่เดือดร้อนมีจำนวนมากกว่า 1.6 ล้านครัวเรือน ถ้ารับซื้อจำกัดจะมีปัญหาการรับซื้อกระจายไม่ทั่วถึง
ผมเชื่อมั่นว่า การที่รัฐบาลรับซื้อยางจะทำให้ทุกฝ่าย รวมทั้งรัฐบาล คสช. แม่นํ้าทั้งห้าสาย และฝ่ายตุลาการ ได้ปรับมุมมองและทัศนคติเกี่ยวกับนโยบายการช่วยเหลือเกษตรกร และให้ถูกต้อง ซึ่งจะทำให้สังคมสามารถก้าวข้าม "กับดักประชานิยมได้อย่างแท้จริง"