"สุเทพ"  ขอไล่ซ้ำระบอบทักษิณ.หากกลับมาสวาปาม ! เชื่อ เพื่อไทยไม่จริงใจปรองดอง

ติดตามข่าวสารข้อมูล www.tnews.co.th

 

"สุเทพ"  ประกาศหนุนคปป.ที่ตั้งใจมาปฏิรูปปท. -ย้ำจุดยืนเดิม หากย้อนเวลาได้ก็จะทำม็อบไล่รัฐบาลชั่วร้าย  -เชื่อ เพื่อไทยไม่มีทางจริงใจปรองดอง ตราบใดที่ "ทักษิณ..คิด  เพื่อไทยทำ ( ตาม )"  -วอน นักการเมืองอย่าเอาปัญหาเรื่องยางพารา มาจุดประเด็นทางการเมือง  ดิสเครดิตคสช.

 

 

 

 

วันนี้ ( 15 ม.ค.)   ช่วงเวลานี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เป็นจุดเริ่มต้นประกาศชุมนุมปิดกรุงเทพฯ หรือที่เรารู้จักว่า “Bangkok Shutdown” โดยมีมวลชนกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ภายใต้การนำของอดีตนักการเมือง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ผู้ผันตัวจากการเล่นการเมืองในรัฐสภา โดยใช้เวทีบนท้องถนน ซึ่งขณะนั้นผู้ชุมนุมต่างมีข้อเรียกร้องต่างๆ นานา ทั้งต้องการกำจัดระบอบทักษิณ เรียกร้องให้ปฏิรูปประเทศ และอีกมากมาย โดยในวันนี้ สุเทพ ได้เปิดใจต่อ รายการ “คม ชัด ลึก” ถึงความเห็นทางการเมือง ความรู้สึกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ความพึงพอใจต่อ คสช. ณ วันนี้ รวมถึงการปฏิรูปประเทศและการปรองดอง

 

 

 


          เมื่อเปรียบเทียบความรู้สึกต่อสถานการณ์การเมืองไทยวันนี้ กับเมื่อ 2 ปีที่แล้วต่างกันอย่างไรบ้าง

 

 


          รัฐบาลขณะนั้นกำลังทำให้บ้านเมืองเสียหายเป็นอย่างมาก และเราไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องพึ่งพลังมวลชนเพื่อแก้ไขปัญหา แต่ในวันนี้สถานการณ์ทางการเมืองได้คลี่คลายไปบ้าง ภายหลังที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ามา และจัดตั้งรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาโดยรับช่วงต่อจาก กปปส. แต่ด้วยความที่ว่าปัญหาบ้านเมืองนั้นมีมานาน ไม่สามารถแก้ได้โดยใช้เวลาสั้นๆ บางคนอาจจะมองในแง่ร้ายว่าเหตุการณ์ในวันนี้กลับย่ำแย่ลง แต่ตนกลับมองว่านี่คือโอกาสในภาวะวิกฤติ มันจะได้เห็นธาตุแท้ของคนไทยฝ่ายต่างๆ ที่จะต้องกอดคอเข้ามาร่วมมือแก้ไขปัญหาด้วยกัน เพื่อเอาชนะปัญหาให้ได้

 

 

 


          “ผมคิดว่าจากประสบการณ์ที่เราได้ร่วมกันต่อสู้เมื่อ 2 ปีที่แล้วเห็นชัดว่า คนไทยแม้จะเป็นคนที่อยู่สบาย ส่วนใหญ่ไม่อยากจะวุ่นวายกับใคร แต่พอเมื่อถึงเวลาที่ชาติมีภัย คนเหล่านั้นก็พร้อมที่จะเสียสละ จนวันนี้ผมคิดว่าประชาชนได้ตื่นตัวมาก และตระหนักว่าเป็นภาระหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องร่วมกันรักษาชาติบ้านเมือง จากเมื่อก่อนที่คิดว่าเรื่องการเมืองเป็นหน้าที่ของนักการเมือง เราเลือกตั้งกันแล้วก็จบกันไป”

 

 


          ส่วนตัวมองแนวทางการดำเนินงานปฏิรูปของ คสช. ถือว่าไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่

 

 

 


          ที่ผ่านมาเรามีข้อเรียกร้องปฏิรูปหลายๆ เรื่อง แต่ในระยะเวลาจำกัดนั้น คสช. จะต้องทำอยู่ 2 เรื่องคือ การกอบกู้สถานการณ์บ้านเมืองที่ทรุดหนัก จากการทุจริตโดยนักการเมืองที่ผ่านมา ซึ่งมีปัจจัยภายนอกอย่างเรื่องเศรษฐกิจโลกเข้ามาซ้ำเติม ซึ่งเป็นส่วนของงานบริหาร เรื่องต่อมาคือการวางกรอบหลักในรัฐธรรมนูญ เพื่อปฏิรูปการเมือง การปกครอง การบริหารราชการแผ่นดิน หากเราติดตามข่าวที่ผ่านมาจะพบว่า มีคนคอยวิจารณ์เรื่องนี้อยู่เรื่อยๆ ซึ่งบางทีก็ต้องเรียนว่าเรารีบกังวลใจจนเกินไป

 

 

 


          “ต้องเรียนว่า 1.ที่เห็นๆ อยู่ก็คือการจัดการคนทุจริตคอร์รัปชั่น ผมคิดว่านี่จะเป็นผลงานที่โดดเด่นของ คสช. เขาตั้งใจทำเลย แต่ก็ยังต้องทำต่อไป 2.เรื่องความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ โดยเกี่ยวเนื่องกับเรื่องสถาบันด้วย ซึ่งประชาชนพอใจ และ 3.เท่าที่เห็นแนวโน้มเรื่องทิศทางของการเมือง พรรคการเมืองระบบการเลือกตั้ง การแก้ปัญหาเมื่อเวลาวิกฤติ ดูท่าทางทำให้ประชาชนอุ่นใจได้ แต่ก็ยังมีหลายเรื่องที่ต้องใช้เวลามากอย่างเรื่องปฏิรูปเป็นต้น”

 

 

 


          ร่างรัฐธรรมนูญฉบับกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ กำหนดให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) เห็นด้วยหรือไม่

 

 


          คปป.นั้นผมเห็นด้วยที่ให้มี หากจะประกาศปฏิรูปประเทศ ก็ต้องมีหลักประกันว่าปีต่อๆ ไปจะทำอย่างไรให้สำเร็จ แต่ว่าคนที่ลุ่มหลงในประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ก็รับไม่ได้ มองว่าเป็นปัญหา สังเกตได้ว่าขณะนั้น กปปส. ก็สนับสนุนแนวคิดนี้

 

 


          เมื่อรู้แล้วว่าการเรียกร้องของ กปปส. ทำให้ทหารออกมายึดอำนาจ หากย้อนเวลากลับไปได้ ยังจะทำเหมือนเดิมไหม

 

 


          ทำแน่นอน เพื่อหยุดยั้งรัฐบาลที่ชั่วร้าย ซึ่งเราเห็นแล้วว่าเขากำลังทำความสูญเสียให้ประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งขณะนั้นเราได้เรียกร้องให้กองทัพออกมาเคียงข้างประชาชน เพื่อสร้างรัฐบาลเฉพาะกิจมาปฏิรูปประเทศแม้ว่านานาชาติจะมองประเทศไทยในด้านลบจากเหตุการณ์นี้ แต่ตนคิดว่าต่างชาติไม่มีสิทธิก้าวก่ายเรื่องภายในประเทศ

 

 


          “เนื่องจากกองทัพอาจจะไม่คุ้นเคยกับวิธีการนี้ ไม่ไปร่วมมือกับประชาชน เขาจึงต้องใช้วิธีการพิเศษ คือการยึดอำนาจ ซึ่งสำหรับผมแม้ว่าไม่ค่อยชอบการยึดอำนาจเท่าไหร่ แต่ก็พอใจที่ทำให้รัฐบาลที่ชั่วร้ายเหล่านั้นหมดอำนาจไป และพอใจมากขึ้นเมื่อผู้ที่เป็นหัวหลักในการยึดอำนาจคือ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งประกาศที่จะปฏิรูปประเทศไทย อย่างนี้ผมก็พอใจ ทั้งนี้การเรียกร้องของผมไม่ได้เป็นการสมคบคิด ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง วันนี้ผมและนายกฯ คงได้ทำงานร่วมกัน”

 


          แม้ว่าจะออกพรรคประชาธิปัตย์แล้ว แต่ก็ยังถูกสังคมมองว่าเป็นผู้มีอิทธิพลต่อพรรคอยู่ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

 

 


          ความจริงแล้วได้ประกาศชัดเจนบนเวทีแล้วว่าขอแยกตัวออกจากพรรค ตั้งแต่เริ่มนำมวลชน ส่วนกระแสข่าวว่าจะจับมือกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ตั้งพรรคการเมืองใหม่ ขอยืนยันว่าไม่มีมูลความจริง แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก็ตาม ซึ่งสมัยที่ร่วมต่อสู้กับมวลชน ก็ได้รับการดูแลจาก กทม.อย่างดี จากการบริการสุขาเคลื่อนที่ กับทำความสะอาด

 

 


          “ในชีวิตผมเป็นคนรักษาสัจจะ ผมเคยพูดบนเวทีว่า 1.ผมไม่กลับพรรคประชาธิปัตย์ 2.ผมได้พูดกับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อสมัยยังบวชอยู่ ผมก็บอกว่านอกจากจะไม่กลับไปพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ผมก็จะไม่ตั้งพรรคการเมืองมาแข่งกับพรรคประชาธิปัตย์ 3.ผมสนับสนุนรัฐบาล คสช. ให้ทำงานปฏิรูปสำเร็จ ถ้าใครมาขวางการทำงานของ คสช. ในเรื่องเหล่านี้ ผมจะช่วย คสช. ไม่กลัวเปลืองตัว”

 

 


          หากการเลือกตั้งครั้งต่อไป พรรคเพื่อไทยชนะอีกจะยอมรับได้ไหม

 

 

 


          พรรคการเมืองไหนชนะมา เราก็ยอมรับได้ทั้งนั้น แต่ว่าถ้าพรรคเพื่อไทยยังถูกบงการ คือทักษิณคิดให้ แล้วก็ทำทุกอย่างเหมือนที่เคย ผมไม่มีวันยอมรับ และประชาชนก็ไม่เอา เพราะเห็นแล้วว่าทำร้ายชาติบ้านเมือง รับไม่ได้ถ้าพรรคเพื่อไทยปรับปรุงตัวเองเป็นพรรคของประชาชน คิดนโยบายเพื่อประชาชน อย่างนี้ยินดีต้อนรับ ผมได้แนะนำให้พรรคประชาธิปัตย์ปฏิรูปตัวเองเช่นกัน เพื่อให้เป็นพรรคของประชาชนอย่างสมบูรณ์ด้วย เพื่อไม่ให้เป็นเพียงแต่ของนักการเมืองเท่านั้น

 


          มีมุมมองต่อเรื่องการปรองดองอย่างไรบ้าง

 

 


          คนไทยทุกคนต้องการความสงบเรียบร้อย ไม่แบ่งฝ่าย ซึ่งผมก็คิดเช่นนั้น อีกทั้งก่อนหน้าที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจไม่ถึงชั่วโมง ผมยังนั่งเจรจากับแกนนำของ นปช.ทั้งหลาย โดยก็ได้พูดเปิดใจทุกอย่าง เพียงแต่ว่าเขาไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้มีอิสระในการตัดสินใจแบบผม แต่เขาต้องรอคำสั่งคุณทักษิณ ผมก็เข้าใจ การเจรจาถึงไม่สำเร็จ ดังนั้นวันนี้จะมีการปรองดองได้ก็ต้องมีความจริงใจต่อกัน และมีเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ ไม่ใช่ทำเพื่อคนใดคนหนึ่ง ส่วนการนิรโทษนั้น ยอมรับได้ในบางระดับ หมายถึงการนิรโทษให้มวลชนทั้งสองฝ่าย เช่น การขัดคำสั่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินในขณะนั้น หรือการปิดกั้นจราจร เป็นต้น ส่วนคดีฆ่าคนตาย หรือเผาบ้านเมืองก็ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

 

 


          หลังจากที่ไปบวชมา ซึ่งหลักธรรมของพุทธได้พูดถึงการปล่อยวาง ณ ตอนนี้ความรู้สึกที่มีต่อทักษิณและยิ่งลักษณ์ มีความเปลี่ยนแปลงจากเมื่อก่อนไหม

 

 


          “โดยส่วนตัวผมแล้วเดี๋ยวนี้ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ผมเจอได้ คุยด้วยก็ได้และไม่มีความโกรธเกลียดเป็นการส่วนตัว แต่ถ้าคุณทักษิณยังมาบงการประเทศไทยอยู่และคุณยิ่งลักษณ์จะกลับมาทุจริตอีก ผมก็จะไล่ต่อไป เมื่อ 2 วัน ผมไปงานแต่งที่ จ.อุทัยธานี คุณจตุพรนั่งโต๊ะเดียวกับผม เราก็ได้คุยกันเรื่องปัญหาของชาวสวนยาง ผมก็ได้บอกว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน อย่านำมาเป็นประเด็นทางการเมือง มีคนถามว่าซูเอี๋ยกันหรือเปล่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ไม่ได้หมายความว่าเจอกันที่ไหนก็ชกกันตรงนั้น ขอย้ำไม่มีความเคียดแค้นเป็นการส่วนตัว แต่ว่าถ้าเขาทำผิดต่อประชาชนต่อบ้านเมือง ผมไม่มีวันยอม” นายสุเทพ กล่าวปิดท้าย

ที่มา : www.komchadluek.net