ชาวนาขายข้าวข้างถนน เดือดร้อนจริงหรือแค่ดราม่าทางการเมือง...???

ติดตามข่าวศาลเพิ่มเติม www.tnews.co.th

จากความชัดเจนถึงรูปธรรม จากมติคณะรัฐมนตรีในการช่วยเหลือชาวนาผ่านโครงการจำนำยุ้งฉาง ซึ่งล่าสุดทางธ.ก.ส.ได้มีการประชุมเร่งด่วนเพื่อพิจารณาช่วยเหลือชาวนาแล้ว

เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา ทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้มีการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) เพื่อพิจารณาการให้ความช่วยเหลือชาวนาตามโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2559/2560 หรือโครงการจำนำยุ้งฉางในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พ.ย. เพื่อแก้ไขปัญหาราคาข้าวหอมมะลิตกต่ำ

โดยนายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ ธ.ก.ส. แถลงภายหลังว่า บอร์ดได้เห็นชอบให้ ธ.ก.ส.ให้ความช่วยเหลือชาวนาตามโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน 23 จังหวัด วงเงินรวม 27,410 ล้านบาท

และโครงการให้ความช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่ชาวนาผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2559/2560 วงเงินรวม 19,375 หมื่นล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 46,785 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีเกษตรกรนำข้าวเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 2 ล้านตัน และจะช่วยยกระดับราคาข้าวในตลาดให้ปรับสูงขึ้นได้ในช่วง 2-3 เดือนจากนี้

สำหรับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ จะได้รับเงินสินเชื่อเพื่อชะลอการขายจาก ธ.ก.ส. ตันละ 9.5 พันบาท ระยะเวลาคืนเงินไม่เกิน 5 เดือน ไม่มีดอกเบี้ย และยังได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกในยุ้งฉาง ตันละ 1.5 พันบาท รวมถึงเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวอีกตันละ 2 พันบาท ทำให้เกษตรกรได้รับเงินทั้งสิ้น 1.3 หมื่นบาทต่อตันข้าวเปลือก

ส่วนเกษตรกรที่ไม่มียุ้งฉาง ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ตันละ 2 พันบาท เพิ่มเติมจากราคาข้าวเปลือกที่ขายได้ โดย ธ.ก.ส. จะโอนเงินเข้าบัญชีของเกษตรกรโดยตรง หลังจากประเมินว่าเกษตรกรจะเริ่มเก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย.นี้ หลังจากนั้นพนักงาน ธ.ก.ส.จะเข้าไปตรวจสอบตามกระบวนการและจะดำเนินการโอนเงินให้เกษตรกรได้ภายใน 3 วัน

นอกจากนี้ผู้จัดการ ธ.ก.ส.กล่าวอีกว่า กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับสมาคมธนาคารไทยและธนาคารพาณิชย์ เพื่ออำนวยสินเชื่อประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ในการเติมสภาพคล่องให้โรงสีทั่วประเทศเพื่อรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่คาดว่าจะมีประมาณ 8 ล้านตัน เบื้องต้นคิดอัตราดอกเบี้ยปกติ โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ 3% ระยะเวลา 3-6 เดือน

นายลักษณ์กล่าวกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ดธนาคารยังมอบหมายให้ฝ่ายจัดการไปจัดทำโครงการเพื่อรองรับและบริหารความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการ หลังจากที่ประเมินในเบื้องต้นว่าจะมีข้าวเปลือกประมาณ 20% ของข้าวที่เข้าร่วมโครงการที่เกษตรกรจะไม่มาไถ่ถอนคืน ซึ่งส่วนนี้ได้วางแผนให้นำข้าวดังกล่าวมาสีแปรสภาพเป็นข้าวสารเพื่อบรรจุถุงละ 5 กิโลกรัมจำหน่าย ซึ่งเคยดำเนินการมาแล้วก่อนหน้านี้

โดยข้าวเปลือก 2 ตัน นำมาสีจะได้ข้าวสาร 1 ตัน และเมื่อมีการบรรจุถุงจะมีต้นทุนราว 23-24 บาท ซึ่งธนาคารมั่นใจว่าสามารถบริหารจัดการได้ โดยมีโรงสีพร้อมดำเนินการ 140 โรง ซึ่งมีกำลังการผลิตเพียงพอแน่นอน”

ขณะที่ภาครัฐ ภาคเอกชน ต่างระดมกันให้ความช่วยเหลือชาวนาอย่างเต็มที่ ทั้งช่วยซื้อข้าว และการให้พื้นที่ในการจำหน่ายโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ขอความร่วมมือไปยังโรงพยาบาลในสังกัด เปิดพื้นที่ให้ชาวนาได้นำข้าวสารมาจำหน่ายใน โรงพยาบาล

ส่วนนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายให้สถานศึกษาในสังกัดที่มีโรงสีข้าวเปิดให้บริการสีข้าวเปลือกแก่ชาวนาในพื้นที่ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการจ้างสีข้าว ซึ่งโรงเรียนในสังกัดที่มีโรงสีจะเป็นกลุ่มโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 37 แห่ง และกลุ่มวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอีกจำนวนหนึ่ง

ส่วนไฮไลท์สำคัญของการช่วยเหลือชาวนานั้นอยู่ที่ประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากเมื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ลงพื้นที่จ.อุบลราชธานี ศรีสะเกษและจ.สุรินทร์ ในการช่วยชาวนา ว่านี่เป็นดราม่าช่วยชาวนาแต่ถูกโยงเข้ามาเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่

วันเดียวกัน ยังมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในการช่วยเหลือชาวนา เมื่อทีมประชาสัมพันธ์ของพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้มีการส่งข้อมูลและภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี และ จ.สุรินทร์ มายังห้องนักข่าวพรรคเพื่อไทยอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน โดยระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้ทุนส่วนตัวซื้อข้าวจากชาวนาในหลายอำเภอ พื้นที่จ.อุบลราชธานี ที่ชาวบ้านได้รวมตัวกันนำข้าวไปสี แล้วนำมาบรรจุถุงขายเองบริเวณ ร.ร.สามัคคีวิทยาคาร และบริเวณด้านหน้า ร.ร.อุบลวิทย์

น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังให้สัมภาษณ์ว่า จากการติดตามข่าว เห็นพี่น้องประชาชนและพี่น้องชาวนาเดือดร้อน โดยเฉพาะช่วงนี้ราคาข้าวตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี ก็รู้สึกว่าอยู่กรุงเทพฯ เลยอยากจะมาเยี่ยมเยือนให้กำลังใจ แล้วก็ทำในศักยภาพที่วันนี้ไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็ส่งกำลังใจให้พี่น้องชาวนาเราทุกคน

ซึ่งทุกคนหนักใจกับภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ อยากให้คนไทยช่วยกัน เราก็แสดงน้ำใจด้วยการอุดหนุนสินค้าของพี่น้องชาวนาด้วยการซื้อข้าว และอยากให้ทุกท่านที่มีสถานที่ ใช้โอกาสนี้ใช้สถานที่ให้กับชาวนาในการที่จะระบายข้าวในช่วงเวลานี้ อยากให้ช่วยกัน การช่วยเหลือกันเวลานี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

ทีมประชาสัมพันธ์พรรคเพื่อไทยยังระบุถึงคำให้สัมภาษณ์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กรณีชาวนามอบเงินสมทบทุนหากถูกยึดทรัพย์ว่า รู้สึกตื้นตันใจจนพูดไม่ออก เพราะยามนี้ชาวนามีความทุกข์ แล้วก็ความทุกข์ของชาวนาก็เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าด้วยซ้ำไป ยังอุตส่าห์มีน้ำจิตน้ำใจเสียสละนำเงินมามอบให้ ก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่แสดงน้ำใจที่จะช่วยทั้งวัตถุ ทั้งสินทรัพย์ต่างๆ แค่นี้ก็เป็นน้ำใจแล้ว สิ่งของต่างๆ ไม่ได้อยู่ที่มูลค่า แต่อยู่ที่จิตใจยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า ขอถือโอกาสกราบขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง แล้วก็ขอให้กำลังใจกับทุกท่าน

ต่อมาน.ส.ยิ่งลักษณ์พบปะแวะพบชาวนากลางทุ่งนาขณะที่กำลังเกี่ยวข้าวที่บ้านโชคอุดม ต.ผือใหญ่ อ.โพธิ์ศรีสุวรรณ จ.ศรีสะเกษ และถูกชาวนาถามถึงความห่วงใยต่อเรื่องเงินที่รัฐบาล คสช.สั่งให้ชดใช้กว่า 3.5 หมื่นล้านบาทในโครงการรับจำนำข้าวว่าจะทำยังไง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ตอบกลับด้วยน้ำคลอว่า ไม่รู้จะชดใช้ยังไงหมด เพราะเป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก

และคณะยังได้ลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ โดยมีประชาชนมารอพบเพื่อให้กำลังใจ ซึ่งมีหลายคนที่ร้องไห้ เนื่องจากสงสาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ต้องถูกชดใช้ค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าว และเรียกร้องให้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง เพื่อหวังให้ราคาข้าวดีขึ้น

โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ไม่ได้มาเป็นรัฐบาล ก็มาช่วยเป็นกำลังใจตามศักยภาพที่ตัวเองทำได้ ก็ควักเงินส่วนตัว อันไหนช่วยได้ก็จะช่วย อยากให้คนไทยทั้งประเทศมาช่วยชาวนา อย่าหาว่าเรามาเพื่อวัตถุประสงค์อะไรเลย

 

ซึ่งทั้ง 3 จังหวัดที่เดินทางไปนั้น ทางคณะก็จะซื้อข้าวสารเพื่อช่วยชาวนากลับมาด้วย

ภายหลังจากที่ภาพข่าวได้ถูกเผยแพร่ไปก็มีประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า เป็นการช่วยเหลือชาวนาจริงๆ หรือการช่วยเหลือสร้างภาพเท่านั้น

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการช่วยเหลือชาวนา เพื่อแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำว่า การแก้ไขปัญหารัฐบาลไม่ได้บังคับใคร ไม่ได้ทำลายวงจรข้าว แต่หากทำแบบเดิมจะเป็นปัญหา สื่อมวลชนก็อยากเขียนข่าวให้นายกฯ เสียหาย

 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่าไม่ต้องการแก้ไขปัญหา แต่จะทำการเกษตรอย่างไรให้เกิดความพอเพียง ไม่ใช่ทำเพื่อใช้หนี้ ดังนั้นจึงต้องมาดูที่วงจรการผลิต การเพาะปลูก รัฐบาลนี้ทำให้เกิดความชัดเจน อย่าตีความว่าจะเอื้อประโยชน์ต่อใคร เพราะต้องแก้ไขทั้งระบบ ส่วนของโรงสีไม่ได้บอกว่าโรงสี ไม่ดี นายกสมาคมโรงสีฯเป็นคนดี แต่มีข่าวออกมาอย่างนั้น ก็ไปแก้มา อธิบายมา ไม่ต้องลาออกให้เสียเวลา เพราะตั้งใหม่ก็วุ่นอีก

ขณะที่ประเด็นกระแสวันนี้ที่ชาวนานำข้าวออกมาขายเองจะมีผลต่อราคาตลาดในอนาคตหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ถือว่าเป็นเรื่องดีและไม่มีผลต่อราคาตลาดแต่อย่างใด เพราะผู้ซื้อจะซื้อตามความพอใจ ไม่เกี่ยวข้องกับราคากลาง วันนี้ขอบคุณทุกคนที่มาช่วยกันซื้อข้าวจากชาวนา อย่างน้อยชาวนาก็เอาข้าวดีๆ มาขาย การแก้ไขปัญหาไม่ใช่ทำได้เฉพาะภาครัฐ แต่หมายถึงสังคมจะต้องช่วยเหลือกัน และรัฐบาลขอความร่วมมืออย่าเพิ่งพูดถึงผลประโยชน์ หรือการตอบแทนซึ่งกันและกัน เพราะที่ผ่านมาเราก็ทำธุรกิจกันอย่างเสรี ไม่สามารถห้ามใครได้ เราต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นประเทศจะต้องดี


ส่วนนักการเมืองสามารถเข้ามาช่วยซื้อข้าวจากชาวนาได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทำได้ แต่อย่าสร้างภาพก็แล้วกัน ขอให้ซื้อจริงๆ ไม่ใช่พอนักการเมืองไปแล้ว และประชาชนจะมาซื้อ คนขายก็ขนของหนีไปหมดแล้ว

 

ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในเรื่องนี้ว่า ไม่รู้ ต้องไปถามคุณยิ่งลักษณ์เอง ถ้างั้นก็รับซื้อข้าวให้หมดเลยสิ และไม่รู้ว่าเป็นเรื่องการเมืองหรือเปล่า แต่เชื่อว่าไม่ได้เป็นการตัดหน้ารัฐบาล เพราะรัฐบาลทำทั้งประเทศ แต่คุณยิ่งลักษณ์ทำแค่ส่วนหนึ่งเอง

เมื่อถามว่า เกรงหรือไม่ว่ากรณีนี้จะเป็นการแย่งมวลชน พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า คิดว่าไม่ใช่ เพราะรัฐบาลทำทุกส่วน แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำแค่ส่วนเดียว แล้วจะเอามาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องดีหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์มีเจตนาช่วยสนับสนุนรับซื้อข้าวเฉกเช่นประชาชนท่านอื่นๆ โดยไม่มีเหตุผลเคลือบแฝงหรือการจัดฉากเพื่อหวังผลทางการเมือง ถือว่าสังคมคงยอมรับได้

แต่หากทำไปเพื่อวัตถุประสงค์โหนกระแส สร้างข่าว สร้างเรื่องราวดรามา เพื่อหวังกลบหรือบิดเบือนความผิดในอดีตและคดีความที่เป็นอยู่ เชื่อว่าพี่น้องประชาชนคงไม่สบายใจที่เห็นนักการเมืองเอาความเดือดร้อนของเกษตรกร โดยเฉพาะชาวนา มาแสวงประโยชน์ทางการเมืองเช่นนี้

พล.ท.สรรเสริญกล่าวต่อว่า รัฐบาลมั่นใจว่าพี่น้องชาวนาจะได้รับประโยชน์จากโครงการจำนำยุ้งฉางที่รัฐบาลได้ประกาศ ซึ่งถือเป็นมาตรการเร่งด่วนประการหนึ่ง และนโยบายของรัฐบาลเพื่อดูแลเกษตรกรมีมาโดยลำดับ ทั้งการปรับปรุงคุณภาพผลผลิต การปรับพฤติกรรมการเพาะปลูกให้สามารถยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนตามสภาวะอากาศและความต้องการของตลาดด้วยการทำไร่นาสวนผสม รวมไปถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

จึงอยากให้พี่น้องเกษตรกรเข้าใจและร่วมมือร่วมใจกับรัฐบาลในการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญนี้ด้วยกัน อย่าปักใจหรือหลงเชื่อคำชี้นำที่ผิดๆ เพราะหากทุกอย่างกลับไปทำแบบเดิมๆ ในอดีต ก็ยากเปลี่ยนสถานะของชาวนาไทยได้ และที่สำคัญที่สุด ขอยืนยันว่าทุกมาตรการที่ประกาศออกไป จะไม่เปิดช่องให้มีใครแสวงประโยชน์จากเงินภาษีของพี่น้องประชาชน

ขณะที่เมื่อวานนี้ ( 5 พ.ย.59) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมทีมทนายคาม ก็ได้เดินทางมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อขึ้นสืบพยานฝ่ายจำเลยนัดที่ 6 ในคดีโครงการรับจำนำข้าว

โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงมาตราการการช่วยเหลือชาวนาของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า ไม่ขอลงรายละเอียด แต่โดยหลักก็ไม่ต่างจากโครงการรับจำนำข้าว ที่สำคัญรัฐบาลมุ่งช่วยเหลือชาวนาโดยไม่มุ่งหวังกำไรขาดทุน

ส่วนที่รัฐบาลมองว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้มีความดราม่า และมุ่งหวังทางการเมืองนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอ ว่า "ดิฉันเองมาจากประชาชน เป็นนายกฯ ที่มาจากประชาชน รู้ซึ้งถึงบุญคุณของประชาชน วันนี้ชาวนา ประชาชนมีความเดือดร้อน

แม้วันนี้ดิฉันไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้ว แต่ดิฉันทำในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่เห็นใจประชาชนและชาวนาที่ลำบาก เดือดร้อนก็ลงไป ไม่ได้มองมุ่งหวังทางการเมือง

ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาบอกว่า อย่าซื้อข้าวที่เดียว แต่ขอให้รับซื้อข้าวทั้งประเทศ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า

"ถ้าดิฉันเป็นรัฐบาล ดิฉันจะทำแบบนั้นค่ะ แต่วันนี้ดิฉันเป็นประชาชนคนหนึ่ง ดิฉันทำเท่าที่กำลังดิฉันมี เพราะดิฉันมีภาระที่จะต้องใช้จ่ายในครอบครัว และดิฉันต้องต่อสู้ในชั้นศาลอีก

แต่ดิฉันคิดว่า น้ำใจต่างหากที่ชาวนาอยากได้รับ อยากเห็นทุกคนลงมาทุ่มเทในการใช้ทุกกำลังความสามารถในการช่วยเหลือชาวนา จะได้มากได้น้อย คนที่เป็นรัฐบาลที่เป็นกลางก็ควรจะมองว่า ใครที่ช่วยเหลือก็น่าจะยินดี และเปิดรับกับทุกคน"

 

เรียบเรียงโดย วัสดา สำนักข่าวทีนิวส์