รัฐบาลตื่นได้แล้ว...ทูตอเมริกา เดินสายคุย นศ.แค่กินข้าวหรือล้างสมองต้านรัฐบาล (รายละเอียด)

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม : http://www.tnews.co.th/

กลายเป็นประเด็นร้อนกันอย่างต่อเนื่อง จากความเคลื่อนไหวของ นายกลิน ที เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริการประจำประเทศไทย หลังจากพบลงพื้นที่จ.มหาสารคาม ท่ามกลางการต้อนรับของข้าราชการอย่างดีเยี่ยม ซึ่งน่าแปลกใจว่า การเคลื่อนไหวลงมาพูดคุยกับนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในครั้งนี้ มีนัยยะสำคัญอื่นที่นอกเหนือจากการกินข้าวกันเฉยๆ หรือไม่

โดยในครั้งนี้ทูต กลิน เดวีส์ ลงทุนบุกอีสานไปมหาวิทยาลัยสารคาม นั่งดินเนอร์กับนักศึกษา นักเขียนแฉหวังสร้างความประทับใจในโครงการ YSEALI ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ จากนั้นก็หนุนนักศึกษาอาเซียนให้กลับมาต่อต้านรัฐบาลของตัวเอง

นายกลิน ที.เดวีส์  เอกอัครราชทูตเดวีส์และภริยาเดินทางเยือนจังหวัดมหาสารคาม โดยได้เข้าพบนายภูสิต สมจิตต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม หารือเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมข้าว และภาคการศึกษาที่ดำเนินไปอย่างดีของจังหวัด

จากนั้น ท่านทูตและภริยาเยี่ยมมหาวิทยาลัยมหาสารคามเพื่อปลูกต้นไม้เป็นอนุสรณ์ถึงการสนับสนุนและมิตรภาพระหว่างสหรัฐอเมริกากับไทย พร้อมเปิดนิทรรศการภาพถ่าย ณ ศูนย์ข้อมูลและวัฒนธรรมอเมริกัน มหาสารคาม ซึ่งนำเสนอสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกับสหรัฐอเมริกา

 

ท่านทูตยังได้พบกับอาสาสมัครของศูนย์ข้อมูลและวัฒนธรรมอเมริกันรวมทั้งศิษย์เก่าโครงการแลกเปลี่ยนของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่มาพูดคุยบอกเล่าถึงประสบการณ์การทำงานกับทางศูนย์ฯ และประสบการณ์แลกเปลี่ยนที่อเมริกาซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาทำงานเพื่อตอบแทนสังคม

ในช่วงเย็น ท่านทูตและภริยาร่วมชมการแสดงมโนราห์บัลเลต์ของทางมหาวิทยาลัย ตามด้วยการแสดงอันทรงพลังอีกสองชุดของคณะ Stephen Petronio Company จากนครนิวยอร์ก ซึ่งเดินทางมาประเทศไทยภายใต้โครงการ DanceMotion USA ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และได้จัดการแสดงที่เชียงใหม่เมื่อไม่นานมานี้ อีกทั้งจัดกิจกรรมค่ายที่มหาสารคามในสัปดาห์นี้ด้วย

 

รัฐบาลตื่นได้แล้ว...ทูตอเมริกา เดินสายคุย นศ.แค่กินข้าวหรือล้างสมองต้านรัฐบาล (รายละเอียด)

รัฐบาลตื่นได้แล้ว...ทูตอเมริกา เดินสายคุย นศ.แค่กินข้าวหรือล้างสมองต้านรัฐบาล (รายละเอียด)

 

รัฐบาลตื่นได้แล้ว...ทูตอเมริกา เดินสายคุย นศ.แค่กินข้าวหรือล้างสมองต้านรัฐบาล (รายละเอียด)

 

รัฐบาลตื่นได้แล้ว...ทูตอเมริกา เดินสายคุย นศ.แค่กินข้าวหรือล้างสมองต้านรัฐบาล (รายละเอียด)

ต่อมา นาย Anthony Cartalucci สื่อมวลชนอิสระ  ที่ออกมาตั้งข้อสังเกตถึงความไหวของทูตสหรัฐในครั้งนี้ว่า

ประเทศไทย : ทูตสหรัฐบุกอีสานโปรโมทโครงการ YSEALI   หวังล้างสมองนักศึกษาให้มาต่อต้านรัฐบาลโครงการดังกล่าวเป็นของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ มีชื่อเต็มว่า โครงการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำในหมู่เยาวชน อาเซียน

เด็กๆที่เคยผ่านโครงการนี้จะได้ไปดูงานที่สหรัฐ 5 สัปดาห์ เวลาเพียงเท่านี้ก็สามารถสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมและความรู้สึกได้รับอภิสิทธิ์พิเศษ และรู้สึกเป็นทีมเดียวกับสหรัฐ นี่คือวิธีเริ่มต้นที่สหรัฐใช้ผูกใจเยาวชนทั่วโลก ให้กลับมาทำร้ายและดิสเครดิตบ้านเกิดตัวเอง

 

วันนี้กลิน เดวี่ส์  บุกมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร่วมวงกินข้าวกับนักศึกษาอย่างใกล้ชิดหลายครั้งที่มหาวิทยาลัยของไทย มักจะไม่พอใจเมื่อรัฐบาลไทยขอความร่วมมือ แต่ปรากฎว่าเมื่อทูตสหรัฐมาดูเหมือนทุกคนจะกระตือรือร้นต้อนรับ เรื่องนี้เหล่านี้ผู้เกี่ยวข้องควรจับตาอย่างใกล้ชิด ก่อนที่เด็กเหล่านี้จะเป็นเหยื่อของสหรัฐได้ภาครัฐบาล ส่วนราชการ ในภูมิภาค ต้องจับตามเรื่องนี้ อย่างใกล้ชิด อย่าคิดปล่อยผ่านเลย

สำหรับโครงการ YSEALI นี้คือ เริ่มจากที่ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เปิดตัวโครงการ Young Southeast Asian Leaders Initiative (YSEALI) เมื่อพ.ศ. 2556  โครงการดังกล่าวเป็นการรวมตัวของผู้นำรุ่นเยาว์อายุระหว่าง 18-35 ปี จากบรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ ลาว สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อมุ่งจัดการกับสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเป็น ความท้าทายสำคัญของภูมิภาคอาเซียนในยุคสมัยของตน  ได้แก่ การพัฒนาเศรษฐกิจ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การศึกษา และการมีส่วนร่วมของประชาสังคม  ในทุกๆ วัน บรรดาผู้นำรุ่นเยาว์ได้นำเสนอหลากหลายแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ อาทิเช่น การนำจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มาใช้ทำความสะอาดแม่น้ำ หรือสร้างโอกาสด้านอาชีพด้วยการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากบัว  สหรัฐฯ ร่วมสนับสนุนหนุ่มสาวที่ไม่ธรรมดาเหล่านี้ผ่านการจัดฝึกอบรมและมอบทุนแก่ผู้ ประกอบการเพื่อสังคมรุ่นใหม่อนาคตไกล

นี่ก็ต้องถือว่าเป็นอีกย่างหนึ่งของทางสหัรฐอเมริกาที่เคลื่อนไหวผ่านประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา อย่างเช่นกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ที่มีแกนนำอย่างนายรังสิมัน โรม เป็นแกนนำ โดยมีกิจกรรมสอดประสานกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลที่เคลื่อนไหวอยู่ ต่างประเทศ  นักวิชาการหัวก้าวหน้า ที่เคยรณรงค์เรียกร้องแก้ไขกฎหมายตามม.112 และการต่อต้านรัฐบาลและคสช. จนถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตัว ดำเนินคดีฐานก่อความไม่สงบสร้างความวุ่นวาย และคัดค้านการลงประชามติ และก็เป็นทางสถานทูตสหรัฐอเมริกา ก็ติดตามความเคลื่อนไหว ออกแถลงการณ์ และการขอเข้าร่วมรับฟังคำตัดสินคดีของกลุ่มนักศึกษาการออกมาสนับสนุนความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลและคสช. โดยอ้างคำว่า เรียกร้องให้ประชาธิปไตย สหรัฐสนับสนุนประชาธิปไตย หรือสนับสนุนผลประโยชน์ที่สหรัฐได้จากรัฐบาลประชาธิปไตยกันแน่

 

เรื่องนี้ต้องย้อนกับไปดูความเคลื่อนไหวประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านสถานทูตต่อประเทศไทยหลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหารประเทศเริ่มจาก ชื่อของนางคริสตี้ เคนนี่ย์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย นับตั้งแต่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2554 ก็มีข้อครหาเกิดขึ้นในเรื่องของจุดยืนของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อนายทักษิณ เรื่องผลประโยชน์ทางด้านพลังงาน และการเข้ามาหาผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย และที่เป็นการย่ำยีหัวใจของคนไทยเป็นอย่างมากก็คือการออกมาแสดงทรรศนะสนับสนุนผู้ต้องหาและผู้ต้องโทษในคดีที่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

ทั้งนี้ กรณีการออกวีซ่าให้กับนายทักษิณนางคริสตี้ ระบุว่า การออกวีซ่าให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นการออกภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ อย่างเคร่งครัด และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสถานการณ์การเมืองภายในประเทศใดๆ  ทางสหรัฐฯ ดีใจ และเป็นเกียรติในความร่วมมือทางด้านกฎหมายของทั้ง 2 ประเทศ และแน่นอนที่ประเทศไทยกับสหรัฐฯ มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน และสหรัฐฯ ก็ได้ตอบสนองคำขอของไทยอย่างต่อเนื่อง

ไม่ใช่แค่ทูตสหรัฐฯ เท่านั้นที่ดูจะสนับสนุนการออกวีซ่าให้นายทักษิณ  นายวอลเตอร์ เอ็ม บราวโนเลอร์ ผู้ช่วยทูตฝ่ายสื่อมวลชน ฐานะโฆษกสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ก็ออกมาแถลง ว่า การออกวีซ่าให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นเรื่องของกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของ สหรัฐฯ ไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย อื่นๆ เช่น กฎหมายอาญาหรือกฎหมายก่อการร้ายของประเทศอื่น

ส่วนการขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทยและสหรัฐฯ จะกระทำได้นั้นต้องกระทำโดยรัฐผู้เสียหายหรือผู้ร้องเป็นผู้ดำเนินการ 

ทั้งนี้ ผลประโยชน์ด้านพลังงาน นับเป็นประเด็นที่ถูกตั้งคำถามมากที่สุดว่าเกี่ยวข้องกับการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ออกวีซ่าให้ นายทักษิณ หรือไม่ เนื่องจาก หนังสือพิมพ์รายปักษ์ที่ชื่อ Culture Map Houston ประจำวันที่ 6-12 ส.ค.2556 ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับการเดินทางเข้าสหรัฐฯของทักษิณ โดยระบุว่าเป็นการเดินทางมาเพื่อ "เจรจาเรื่องธุรกิจพลังงาน"  พร้อมทั้งบอกว่า ประธานกรรมการของ ยูไนเต็ด แอลเอ็นจี ที่ชื่อนาย Stephen  Payne ได้พบปะพูดคุย กับ นายทักษิณ ชินวัตร

 

การพบกันครั้งนี้อาจมีวาระที่ ไม่ธรรมดา เพราะมีประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ ขณะที่นายทักษิณกำลังมุ่งมั่นลงทุน ในธุรกิจพลังงาน Stephen Payne ก็เป็นนักล็อบบี้ยิสต์ชาวอเมริกันที่มีเครือข่ายกว้างขวางและมีสายสัมพันธ์ กับรัฐบาลและกลุ่มทุนในสหรัฐอเมริกามา ยาวนานกว่า 25 ปี โดยเป็นที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์และมีประสบการณ์ด้านพลังงาน

ปัจจุบันได้เป็นตัวแทนเกี่ยวกับกิจการพลังงานให้กับหลายประเทศ เช่น รัสเซีย ปากีสถาน อาเซอร์ไบจาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เติร์กเมนิสถาน รวมถึงทำงานร่วมกับอีก หลายบริษัทที่เป็นลูกค้าของเขา เช่น บริษัทวาณิชธนกิจอย่าง เจพี มอร์แกน, บริษัทผลิตซอฟต์แวร์ยี่ห้อ SAP, สายการบิน คอนติเนนตัล, เครื่องบินโบอิ้ง, บริษัทผลิตอาวุธและเครื่องบินสงคราม ร็อคฮีท มาร์ตินดังนั้น จึงเกิดคำถามตามมาว่าการที่ นายทักษิณ นักโทษหนีคดีคอร์รัปชันและคดีก่อการร้าย สามารถเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาได้โดยสะดวกเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีนั้น เป็นฝีมือการล็อบบี้ระดับนานาชาติของ Stephen Payne หรือไม่ 

การพบปะเจรจาระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร กับ Stephen  Payne มีอะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ทำให้นักโทษชายทักษิณสามารถเข้าประเทศสหรัฐ อเมริกา  อะไรเป็นแรงจูงใจให้อเมริกาต้อนรับทักษิณเข้าประเทศ โดยไม่สนใจบทลงโทษของศาลไทย และไม่สนใจแม้กระทั่งในเรื่องข้อกล่าวหาและการหนีหมายจับคดีก่อการร้าย ทั้งๆ ที่สหรัฐอเมริกาเรียกร้องให้คนทั้งโลกมีความโปร่งใสและจัดการกับผู้ก่อการ ร้ายทั้งหลาย

 

นอกจากนี้ยังเป็นกรณีที่นางคริสตี้ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กรณีศาลไทยมีคาพิพากษาจาคุก นายโจ กอร์ดอน หรือ นายเลอพงษ์ วิไชยคามาตย์ คนไทยสัญชาติอเมริกัน ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 โดยกล่าวในทำนองว่ากฎหมายและการลงโทษดังกล่าวไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และว่าจะพยายามช่วยเหลือนายโจ กอร์ดอน อย่างเต็มที่

รวมทั้ง กรณีที่ "นายเดอรราจ์ พาราดิโซ" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายเอเชียตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ออกมาให้ความเห็นกรณีคดี "อากง SMS" ตกเป็นผู้ต้องหาส่งเอสเอ็มเอสละเมิดกฎหมายหมิ่นสถาบัน มาตรา 112 ว่า "สหรัฐอเมริกาให้ความเคารพอย่างสูงสุดต่อสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่กระบวนการยุติธรรมไทยอาจไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในเรื่องสิทธิเสรีภาพ การแสดงความคิดเห็น

 

ทั้งนี้ หลังจากนายพาราดิโซและนางเคนนีย์แสดงความเห็นดังกล่าวต่อการบังคับใช้ ม.112 ในคดี อากง และ โจ กอร์ดอน ปรากฏว่า ใน  US Embassy Bangkok ซึ่งเป็นเพจเฟซบุ๊กของสถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ได้มีสมาชิกเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นชาวไทยจำนวนมาก แสดงความคิดเห็นทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แสดงความไม่พอใจกรณีดังกล่าวเป็นอย่างมาก โดยไม่พอใจที่สหรัฐฯ เข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในของไทย

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนไทยผู้จงรักภักดีรวมตัวกันในนาม กลุ่มสยามสามัคคี รวมพลังประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐฯ เพื่อขับไล่นาง คริสตี้ออกนอกประเทศ โดยกลุ่มสยามสามัคคีได้ยื่นหนังสือถึงสหประชาชาติและสหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องให้พวกเขา หลีกเลี่ยงแสดงความคิดเห็นต่อกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกับกรณีที่เครือข่ายคนเชียงใหม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อดรนทนไม่ไหว จนต้องรวมตัวกันที่หน้าสถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกาจังหวัดเชียงใหม่เพื่อยื่น หนังสือต่อนางคริสตี้ ขอให้ยุติการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยและยุติการลบหลู่กระบวนการ ยุติธรรมของไทย

ท่าทีของนางคริสตี้ในการสนับสนุนบุคคลและกลุ่มบุคคลที่เห็นต่างเรื่องมาตรา 112 ในประเทศไทย ปรากฏอย่างเด่นชัด กรณีเข้าเยี่ยมสำนักงานเว็บไซต์ประชาไทเมื่อวันที่ 26 กันยายน

เมื่อวันที่ 26 ก.ย. สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่ภาพนางคริสตี้ เคนนี่ย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้พูดคุยกับ น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้ดูแลเว็บไซต์ประชาไท ระหว่างที่เข้าเยี่ยมสำนักงานเว็บไซต์ประชาไท คริสตี้ เคนนี่ย์กล่าวเกี่ยวกับความสำคัญของสื่อเสรี ทั้งนี้ยังได้กล่าวถึงบทบาทของการรายงานข่าวเชิงสืบสวน และความสำคัญของการสานเสวนาอย่างเปิดเผยและครอบคลุมทุกภาคส่วนเพื่อการ ปฏิรูปที่มีความหมาย

 

จากการตั้งข้อสังเกตถึงท่าทีของสหรัฐอเมริกาที่ให้การสนับสนุนนายทักษิณอย่างเปิดเผยต่อเนื่องกับความไม่ชอบมาพากลในการเข้าติดต่อธุรกิจด้านพลังงานกับประเทศไทยในสมัยของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์รวม ซึ่งพบว่ามีอยู่หลายครั้งที่นางคริสตี้ได้นำผู้บริหารและตัวแทนบริษัทเชฟรอนเดินทางเข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่บ่อยครั้ง

หรือแม้กระทั่งเมื่อวันที่13 กรกฏาคม 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เดินทางไปประเทศกัมพูชาตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ฮิลลารี คลินตัน เพื่อเข้าร่วมประชุมและกล่าวสุนทรพจน์ในงานฟอรัมธุรกิจอาเซียน ซึ่งมีนักธุรกิจของสหรัฐฯเข้าร่วม โดยเฉพาะผู้บริหารจากบริษัทเชฟรอน ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯเข้าร่วมด้วย

และเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม2557  สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอการไปเยือนแท่นผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยของบริษัทเชฟรอน ณ ฐานผลิตปลาทอง ห่างจากชายฝั่งทะเล จ.นครศรีธรรมราช ประมาณ 200 กิโลเมตร

ทั้งนี้ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด เป็นผู้รับสัมปทานแหล่งเอราวัณ, ปลาทอง และแหล่งสตูล ทั้งยังถือผู้ลงทุนต่างชาติรายใหญ่อันดับต้นๆ ในประเทศไทย

นอกเหนือจากสายสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐในยุคของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์แล้วนั้น หากได้ย้อนกลับไปในสมัยที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวต่อเนื่องในปี2548-2549ได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของ นายทักษิณ ชินวัตร กับนายกรัฐมนตรีในตอนนั้น นั่นก็คือนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ซึ่งเป็นที่รับทราบในวงการ ซึ่งนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุชเป็นตัวแทนของกลุ่มทุ่นเสรี

คอลัมนิสต์จากเว็บไซต์ Land Destroyer Report ระบุว่า นายทักษิณ มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกลุ่มทุนของตะวันตก โดยอ้างถึงรายงานของ ทนง ขันทอง คอลัมนิสต์ นสพ. The Nation ขึ้นมาในระดับโลก

เมื่อปี 2544 ว่าตั้งแต่ปี 2542 ช่วงที่ไทยกำลังตกอยู่ในวิกฤติเศรษฐกิจ นายทักษิณ พยายามทำหน้าที่เป็น พ่อสื่อระหว่างกลุ่มทุนอเมริกันและกลุ่มทุนไทย เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ตนมีชื่อเสียง

และเครื่องชี้ชัดถึงข้อสังเกตนี้ คือการที่สามารถเชิญ นายจอร์จ บุช (บุชผู้พ่อ) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไปพักที่บ้านของตนได้ รวมทั้งยังได้เป็นเจ้าภาพจัดการต้อนรับ นายเจมส์ เบเกอร์ ที่ 3 รัฐมนตรีต่างประเทศในคณะรัฐมนตรีของบุชผู้พ่อ เมื่อนายเบเกอร์เดินทางมาเยือนประเทศไทยด้วย

จากนั้นเมื่อ นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช (บุชผู้ลูก) ขึ้นเป็น ปธน.สหรัฐ ในเวลาไล่เลี่ยกับที่ นายทักษิณ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย สิ่งที่เห็นได้ชัดถึงความสัมพันธ์ดังกล่าว คือนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย มีแนวโน้มหนุนสหรัฐอเมริกาเต็มตัว ไล่ตั้งแต่การส่งทหารไทยไปร่วมภารกิจในอิรักเมื่อปี 2546 ทั้งที่ถูกคัดค้านจากหลายฝ่ายว่าไม่เหมาะสม เพราะอาจกระทบต่อยุทธศาสตร์ประเทศไทยที่ควรวางตัวเป็นกลาง

ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจ นายทักษิณ และเครือข่าย พยายามจะทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาอยู่ตลอดเวลา ไล่ตั้งแต่ปี 2547 ในครั้งนั้นได้รับการตอบรับที่ดีจาก สภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน (US-ASEAN Business Council) ที่ประกอบด้วยทุนใหญ่จากชาติตะวันตกกว่า 50 องค์กร

และก็เป็นองค์กรนี้เองที่ให้การต้อนรับแกนนำคนเสื้อแดง อันเป็นกลุ่มคนที่สนับสนุน นายทักษิณ เมื่อครั้งไปเยือนสหรัฐอเมริกาในปี 2554 ช่วงก่อนการเลือกตั้งและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว นายทักษิณ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แน่นอนว่าความพยายามดังกล่าวได้กลับมาอีกครั้งด้วยการ แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 190 ว่าด้วยการทำสัญญากับต่างประเทศ ให้ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา

เอเชีย ไทมส์ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ นายทักษิณ ไว้ต่อมาว่า นายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เป็นเพื่อนที่มีสายสัมพันธ์กับอดีตประธานาธิบดีบุชมายาวนาน ได้ลาออกจากกองทุนเอเชีย ฟันด์ ของคาร์ไลล์ก่อนหน้าที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงแค่ 1 ปี  แม้แต่นายเจมส์ เบเกอร์เอง ซึ่งมีชื่อว่า เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง และที่ปรึกษาอาวุโส ของคาร์ไลล์ กรุ๊ป ก็อยู่ในบอร์ดที่ปรึกษา ประจำเอเชีย เช่นกัน

นอกจากนี้เมื่อปี 2549 นายทักษิณ ยังเคยเขียนจดหมาย ถึง นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา อ้างว่ามีภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยของประเทศไทย จากกลุ่มผลประโยชน์ชุมนุมเพื่อชิงอำนาจทางการเมือง และจดหมายตอบกลับจากผู้นำสหรัฐฯ

ต่อมาก็ได้มี จดหมายตอบกลับจากประธานาธิบดีสหรัฐ ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2549 โดยระบุว่า ขอขอบคุณสำหรับจดหมายของท่าน และความคาดหวังในทางที่ดีเกี่ยวกับเส้นทางในอนาคตของประเทศไทย สหรัฐอเมริกาได้จับตามองเหตุการณ์ในประเทศของท่านด้วยความกังวลอยู่บางส่วน และในฐานะพันธมิตรและมิตรประเทศ ข้าพเจ้าขอแสดงความหวังอย่างจริงใจว่าทุกฝ่ายจะสามารถพบหนทางที่จะก้าวไปข้างหน้าอันเป็นหนทางที่จะเคารพต่อความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของประชาธิปไตยไทยในอดีตที่ผ่านมา และได้เห็นการจัดตั้งรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มขึ้นมาปกครองประเทศได้ในเวลาอันรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 ความเป็นมิตรระหว่างประเทศทั้งสองของเรายังคงเข้มแข็ง และข้าพเจ้าขอชื่นชมคำรับประกันของท่านต่อความร่วมมืออันดีระหว่างเราในประเด็นที่มีความสำคัญๆ อย่างยิ่งต่อเราทั้งสองจะยังคงดำเนินต่อไป ในระบบการเมืองที่เปิดกว้างและมีเสรีภาพเราไม่สามารถคาดการณ์อะไรล่วงหน้าได้ แต่ประชาชนชาวไทยมีความสามารถในการปรับตัวที่ดีและประชาธิปไตยในไทยก็เข้มแข็งและข้าพเจ้ารู้ว่าประเทศของท่านจะผ่านพ้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ไปได้โดยที่มีความมุ่งมั่นใหม่อีกครั้งในอันที่จะทำให้ประเทศไทยยิ่งใหญ่ต่อไป

พิจารณาจากหลักฐานข้อเท็จจริงทั้งหมดทั้งมวล เรียกได้ว่าเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยกับบทบาททางการทูตอย่างประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ได้แสดงออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ที่เรียกยืนอยูเคียงข้างระบอบทักษิณนั้นเอง

 

เรียบเรียงโดย : วัสดา สำนักข่าว ทีนิวส์

ที่มา : U.S. Embassy Bangkok  , Anthony Cartalucci