ไม่ต้องเถียงกันให้วุ่น...แถมรอบนี้ตอกหน้า"ลูกโอ๊ค"จนหงาย!! "ปลัดคลัง" ยันเก็บภาษีหุ้นชินไม่ต้องใช้อภินิหาร-ใช้รัษฎากร ม.61 หวดได้เลย

ติดตามข่าวสารที่ www.Tnew.co.th

 

ไม่ต้องเถียงกันให้วุ่น...แถมรอบหน้าตอกหน้า"ลูกโอ๊ค" ที่ออกมาอวดรู้เมื่อวานจนหงาย...เมื่อ "ปลัดคลัง" ยันเก็บภาษีหุ้นชินไม่ต้องใช้อภินิหารอะไร ใช้ประมวลรัษฎากร มาตรา 61 จัดการได้เลย โดยกรมสรรพากรมีหน้าที่ประเมินภาษีได้เลย และเมื่อประเมินแล้วอายุความก็ไม่มีผล ขณะ "แก้วสรร" อดีต คตส.ชี้ รัฐฯ ต้องเรียกเก็บภาษีกรณีนี้จาก "โอ๊ค-เอม" ลูกของนายใหญ่อีก 2.2 หมื่นล้านบาทด้วย เพราะเป็นกรรมการบริษัท แอมเพิลริช และมีการขายหุ้น 329.2 ล้านหุ้นที่ถือไว้ในนามบริษัทแอมเพิลริช ให้แก่กลุ่มทุนเทมาเส็ค และแอมเพิลริช เป็นนิติบุคคลต่างประเทศที่มีกรรมการอยู่ในไทย (โอ๊ค-เอม) และมีเงินได้อยู่ในไทย

 

วันนี้ (17 มี.ค.) หลังสังคมเริ่มโฟกัสไปที่การเรียกเก็บภาษีเงินได้จาก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้อื้อฉาว จากกรณีขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น ให้แก่บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ (พีทีอี) มูลค่ากว่า 16,000ล้านบาท เหตุเพราะกำลังจะหมดอายุความในวันที่ 31 มีนาคม หรือสิ้นเดือนนี้นั้น 


ต่อเรื่องนี้ ล่าสุดนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้ออกมาเปิดเผยว่า การเก็บภาษีหุ้นจากนายทักษิณ กรมสรรพากรสามารถดำเนินการเรียกประเมินภาษีได้เลย ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 61 ไม่ต้องใช้อภินิหารกฎหมายอื่นแต่อย่างใด หลักการเบื้องต้น คือ กรมสรรพากรต้องมีหน้าที่ประเมินภาษีได้ทันที และเมื่อประเมินแล้วอายุของคดีความก็ไม่มีผลแต่อย่างใด


"กฎหมายมีช่องทางให้ทำได้ผ่านมาตรา 61 โดยกรมสรรพากรสามารถออกแบบประเมินภาษีได้เลย เมื่อประเมินได้ผลก็คือทุกอย่างจบ ส่วนหมายเรียกถือว่าได้ออกไปแล้ว แต่กระบวนการทั้งหมดเป็นหน้าที่กรมสรรพากรที่จะดำเนินการ ส่วนการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบกรณีดังกล่าว ตรวจสอบไปแล้ว 60-70%" ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุ

 

ขณะที่ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้ออกมาแสดงความเห็นกรณีเดียวกันนี้ว่า การตรวจสอบภาษีหุ้นชินคอร์ปอันเป็นที่มาของการเรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตรว่า เกิดจาก คตส.พบว่า มีการขายหุ้น 329.2 ล้านหุ้น ที่ถือไว้ในนามบริษัทแอมเพิลริช ให้แก่กลุ่มทุนเทมาเส็คช่วงมกราคมปี2549 ซึ่งเป็นการขายทางอ้อม คือให้แอมเพิลริชขายให้ นายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทา ก่อนในราคาหุ้นละ 1 บาท แล้วจึงให้บุคคลทั้งสองขายต่อให้เทมาเส็คราคาหุ้นละ 49.25บาท เป็นเงิน 1.5หมื่นล้านบาท แล้วไม่เสียภาษี คตส.จึงเสนอให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีบุคคลทั้งสองคนละ 5.6พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้ข้อสรุปว่า กรมสรรพากรจะเก็บภาษีจาก นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา ในฐานะที่เป็นตัวแทนทักษิณแล้ว

 

"มีอีกกรณีหนึ่งซึ่งอายุความจะหมดในเดือนมิถุนายน 2560 คือ คดีที่คตส.ให้กรมสรรพากรเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา ในฐานะที่เป็นกรรมการบริษัทแอมเพิลริช จำนวนกว่า 2.2หมื่นล้านบาท โดยมีทั้งเงินปันผลที่ได้รับทุกปี เงินได้จากการขายหุ้นช่วงเดือนมกราคม2549 ภาระปลอดหนี้ที่เจ้าหนี้ปลดหนี้ให้ ตลอดจนการจำหน่ายกำไรไปยังต่างประเทศ ซึ่งคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรไปตีความว่า บริษัทแอมเพิลริชไม่ต้องเสียภาษี เพราะเป็นนิติบุคคลที่ไม่ต้องเสียภาษีในประเทศไทย ทั้ง ๆที่บริษัทแอมเพิลริชเป็นนิติบุคคลต่างประเทศที่มีกรรมการอยู่ในไทยและมีเงินได้อยู่ในไทย ดังนั้นหากรัฐบาลจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ต้องให้กระทรวงการคลังไปรื้อเรื่องนี้ขึ้นมาและเพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าว จากนั้นก็ออกหมายเรียกเก็บภาษี นายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา รวมถึง นายทักษิณ ด้วย แม้จะขายบริษัทแอมเพิลริชไปแล้ว แต่กรรมการบริษัทในขณะเกิดเหตุหนีภาษีคือนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา ที่ต้องรับผิดแทนบริษัทในหนี้ภาษี 2.2หมื่นล้าน”อ.แก้วสรร ให้ความเห็นทิ้งท้าย

 

อารมณ์ เคนหล้า สำนักข่าว Tnews