ถึงบางอ้อ!! "สุรนันท์" เฉลยเองเหตุใด"บุญทรง"เจอคุก 42 ปี แค่ประโยค"รีบทำ-แต่ละเรื่องน่ากลัว เราเป็นแค่เสมียน ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง"ก็ชัดพอแล้ว

ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th

 

นับว่าน่าสนใจมาก และอาจพูดได้อย่างกลาย ๆ ว่า นี่เป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้สังคมถึงบางอ้อว่า เหตุใด "บุญทรง เตริยาภิรมย์" อดีต รมว.พาณิชย์สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้มีความผิดคดีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจีเก๊ จึงถูกศาลนักการนักการเมืองพิพากษาจำคุกถึง 42 ปี  เมื่อ "เสี่ยปุ้ม-สุรนันท์ เวชชาชีวะ" อดีตเลขาธิการนายกฯ ในรัฐบาลเดียวกัน โพสต์ถึงเพื่อนของเขานายบุญทรง หลังรับรู้ชะตากรรมวานนี้ แบบหมดไส้หมดพุง และแทบจะเป็นคำเฉลยของเรื่องทั้งหมด

 

เพราะหากแกะจากคำพูดของเขา จะพบคำตอบว่า เหตุใด "นายบุญทรง" จึงต้องมารับเคราะห์กรรมอันหนักหนาในครั้งนี้ โดยเฉพาะประโยคเด็ด ๆ ที่เขาบอกไว้ตอนหนึ่งของการโพสต์ว่า "ได้ข่าว เพื่อน (บุญทรง) อีกทีเป็นเลขานุการส่วนตัวนายกฯ "สมชาย วงศ์สงวัสดิ์ ใจห่วงว่าเพื่อนจะปลอดภัยหรือไม่" รวมทั้งบางประโยคหลังจากที่เขาแอบพลิกแฟ้มของนายบุญทรงดู เช่น "ใครดูให้มึง แต่ละเรื่องน่ากลัว" 

 

นอกจากนี้ เขายังเตือนบุญทรงในเรื่องน่ากลัว ๆ นั่นอยู่เสมอ โดยระบุว่า "พอส่งเรื่องจากทำเนียบก็คอยเตือนว่าให้รีบจัดการ เราเป็นเพียง "เสมียน" ไม่รู้ตื่นลึกหนาบาง และรู้สึกว่าเพื่อน "ไม่สบายใจ""

 

โดยนาย สุรนันท์ บอกด้วยว่า เขาเคยถามเรื่องเหล่านี้กับบุญทรง แต่บุญทรงไม่เล่าให้ฟัง บอกกลับมาว่า "กูพูดไม่ได้"  โดยสุรนันท์ถึงกับระบุ เขานับถือน้ำใจของบุญทรงที่ เก็บงำความลับ และตอบออกมาว่า "กูพูดไม่ได้" โดยนายสุรนันท์ ระบุในช่วงท้าย ๆ ว่า "ในทางการเมือง บางเรื่อง "ต้องตายไปกับเรา" พูดไม่ได้ ผมเข้าใจดี และผม "เห็นใจ" เพื่อน ที่ต้องเข้าไปติดกับ "เงื่อนไข" นั้น"....เขา ว่า 

 

ทั้งหลายทั้งปวงนั่น...อาจถือได้ว่าเป็นกุญแจดอกสำคัญจากคนกันเองที่ไขปริศนาให้สังคมได้รับรู้ความจริงอีกด้านว่า...ทำไม "โครงการรับจำนำข้าว" จึงเต็มไปด้วยความอื้อฉาว และถูกมองว่าท่วมท้นไปด้วยการทุจริต และเมื่อศาลฎีกาฯ นักการเมืองได้อ่านคำพิพากษากว่า 5 ชั่วโมง นั่นยิ่งตอกย้ำว่า สิ่งที่ผู้คนกว่าคนึ่งค่อนประเทศท้วงติง และตั้งข้อสังเกตนั้น...มันมีอยู่จริง...อย่างน้อยเรื่องอันดำมืดนั้น...ก็ถูกเฉลยในโพสต์ของนายสุรนันท์ แบบทำให้สังคมเห็นภาพได้ชัดระดับหนึ่งทีเดียว

 

โดยรายละเอียดทั้งหมดที่ นายสุรนันท์ โพสต์ไว้ คือ

 

“คนส่วนใหญ่วันนี้คงโพสต์ถึงอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

 

แต่ผมขอโพสต์ถึง "เพื่อน" ผม "บุญทรง เตริยาภิรมย์"

 

ผมรู้จัก "บุญทรง" ตั้งแต่เราเข้ามาร่วมอุดมการณ์ตั้งพรรคไทยรักไทย ปี 2542-2543 อายุเท่าๆกัน "ฮุก" เกิด 2503 ส่วนผม 2504 คุยกันถูกคอ เราเป็นคนรุ่นเดียวกัน และเป็นรุ่นแรกๆที่เข้ามาทำการเมืองในพรรค ตั้งแต่พรรคไทยรักไทยยังเป็น "วุ้น" ผมรู้สึกว่า "บุญทรง" เป็นคนหนุ่มตั้งใจดี เป็นนักธุรกิจที่อยากเห็นประเทศเจริญก้าวหน้า เราคุยกันตลอด จัดสัมมนาร่วมกันเพื่อระดมความคิดในการทำการเมืองในหมู่คนรุ่นใหม่ด้วยกัน

 

เราอยากเห็นการเมืองใหม่ อยากเห็นการเมืองก้าวหน้า และเชื่อว่า "ทักษิณ ชินวัตร" จะเป็นผู้นำที่จะทำให้ความฝันของเราเป็นความจริง

 

ริมบ่อริมบึงหลังระดมความคิด ผมนั่งจิบเบียร์กับ "บุญทรง" หลายครั้งหลายหน ผมเชื่อว่าเราเข้าใจตรงกัน ใน ฐานะนักการเมือง "รุ่นใหม่" ในขณะนั้น

 

ชะตาชีวิตพลิกผัน ปี 2544 ผมเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ "เพื่อน" เป็น ส.ส. เขต เราคุยกันเสมอ ผมก้าวกระโดดจาก ส.ส. และโฆษกพรรค ปี 2544-2548 เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในปี 2548 แต่ก็ติดต่อกันคุยและประสานงานกับ "เพื่อน" จนรัฐประหาร ปี 2549

 

จากนั้นก็แตกกระสานซ่านเซ็นกันไป

 

ได้ข่าว "เพื่อน" อีกทีเป็นเลขานุการส่วนตัวนายกฯ "สมชาย วงศ์สงวัสดิ์" ใจห่วงว่าเพื่อนจะปลอดภัยหรือไม่ ยกหูโทร.คุยกันครั้งหนึ่งเท่าที่จำได้ เพื่อนบอก "ไม่ต้องห่วง"

ส่วนผมนั้นโดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ด้วยเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ได้แต่ช่วยให้กำลังใจอยู่ห่างๆ

 

เวียนมาเจอและร่วมงานอีกครั้ง เมื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี ผมเข้ามาเป็น "เลขาธิการนายกรัฐมนตรี" หลังพ้นการตัดสิทธิ์ ปี 2555 "เพื่อน" เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ไปเยี่ยมห้องครัวเพื่อนไฟไหม้ ที่กระทรวง ยังหัวเราะกันอยู่จน "เพื่อน" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผมเป็นเลขาธิการนายกฯ ได้เจอกันบ้าง แวะไปคุย เห็นเพื่อนแฟ้มเต็มโต๊ะ ยังเป็นห่วง

 

"ใครดูให้มึง แต่ละเรื่องน่ากลัว" ผมแอบพลิกแฟ้มดู

 

 

"กูมีทีม" แล้วชวนทานข้าวจากโรงอาหาร หน้าห้องสั่งมาให้ ยังคงความเป็นคนง่ายๆ ที่ผมรู้จัก ถึงแม้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่

 

เวลานายกฯยิ่งลักษณ์ไปต่างประเทศ บางทีได้คุยกัน ได้ปรับทุกข์ผูกมิตรกันมากกว่าอยู่กรุงเทพฯ แต่ในแววตา "เพื่อน" มีความกังวล

 

ช่วงวิกฤต ผมงานหลายด้าน แต่ก็ไม่วายห่วงเพื่อน ส่งเรื่องจากทำเนียบก็คอยเตือนว่าเรื่องไปแล้วรีบจัดการ เราเป็นเพียง "เสมียน" ไม่รู้ตื่นลึกหนาบางทั้งหมด แต่รู้สึกเสมอว่าเพื่อน "ไม่สบายใจ"

 

หลังพายุพัดผ่าน รัฐประหารไปแล้ว เคยนั่งจิบไวน์คุยกันสองคน 

 

ผมถาม​ "มึงเล่าให้กูฟังหน่อยว่าเรื่องเป็นยังไง" ผมนับถือน้ำใจมันที่ตอบ "กูพูดไม่ได้"

 

เราร่ำสุราจนดึก แล้วไม่แตะเรื่องนั้นอีกเลย

 

ทางการเมือง บางเรื่อง "ต้องตายไปกับเรา" พูดไม่ได้ ผมเข้าใจดี และผม "เห็นใจ" เพื่อน ที่ต้องเข้าไปติดกับ "เงื่อนไข" นั้น ผมอาจจะ "โชคดี" กว่า ที่ยังรักษาความเป็นตัวของตัวเองได้ และ "เพื่อน" ไม่ "โชคดี" เท่า

 

ผมโลดแล่นทางการเมืองมาหลายสิบปี เห็นคนตั้งใจดีโดนกลั่นแกล้งจนถอยไป และเห็นคนที่เริ่มต้นด้วยอุดมการณ์ดี แต่เวลาผ่านไป "เสียคน" ก็เยอะ เอาเป็นว่า หาก "ใจ" ไม่ "นิ่ง" จริง อำนาจทำลายล้างทางการเมือง ทำลายคนได้

 

ครั้งสุดท้ายที่เจอ "เพื่อน" เมื่อเร็วๆนี้ ก็ได้แต่ "โบกมือ" ทักทายกัน เพราะต่างมี "ภารกิจ" ไม่นึกว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายก่อนคำตัดสินของศาลวันนี้

 

สาธารณชนอาจจะตัดสิน "บุญทรง" อย่างไรก็ตาม และต่างๆนานา ย่อมทำได้ แต่ผมรู้จัก "บุญทรง" และไม่ว่าจะในสถานะใด จะผิดจะถูกอย่างไร เขาเป็น "เพื่อน" ผมเสมอ ขอให้ "เพื่อน" โชคดีและพ้นวิบากกรรม ผมขอให้กำลังใจ”


ขอบคุณข้อมูลจาก :  เฟซบุ๊ก "Suranand Vejjajiva"