ย้อนอ่าน!! คนรู้ทันถลกหนัง"เนติวิทย์" มากันครบทั้ง"กนก-พี่ดี้-อาจารย์ม.ดัง" ยันด้วยข้อเท็จจริง"เด็กคนนี้โคตรสับปลับ-สู้แบบคนอสัตย์-ไร้ค่า"

ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th


อารมณ์ เคนหล้า สำนักข่าว Tnews
 

เละเป็นโจ๊ก!! ย้อนอ่าน คนรู้ทันถลกหนังหน้า "ลิเบอร่านสยามพันธุ์ล่าสุด-เนติวิทย์ หรือเนเน่ ในสายตาลิเบอร่านวัยละอ่อนด้วยกัน" เมื่อครั้งงานถวายสัตย์ปฏิญญาณตนของนิสิตจุฬาฯ เมื่อต้นเดือนก่อน โดยตอนนั้นมากันครบทั้ง "กนก-พี่ดี้ รวมทั้งข้อเขียนของอาจารย์จากมหาวิทยาลัยดังย่านรังสิต" โดยทุกคนยืนยันด้วยข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ว่า เหตุการณ์ถวายสัตย์ปฏิญญาณตนฯ ในวันนั้น เป็นแผนการที่ "เนติวิทย์" ตั้งใจก่อให้เกิดขึ้นเพื่อกระพือสถานการณ์ โดยเขาฉีกข้อตกลงที่ให้ไว้กับทางคณาจารย์ แบบคนโคตรสับปลับ...จนก่อให้เกิดเหตุการณ์ข้อถกเถียงตามมาในภายหลัง และการกระทำเยี่ยงนั้น...ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อสังคม...เพราะเขาเริ่มต้นด้วยการ...สู้ด้วยความเท็จแบบคนอสัตย์  

 

ดังที่ทราบ ๆ กัน ต่อกรณีอันร้อนแรงที่กระหึ่มโลกออนไลน์เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และสั่นสะเทือนต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ คือ เหตุการณ์ที่ "นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล" และพวก เดินออกกลางงานถวายสัตย์ฯ ดังกล่าว และก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมายขณะนั้น ล่าสุดต่อกรณีนี้ ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีคำสั่งตัดคะแนนความประพฤติ นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล และเพื่อนในกลุ่มอีก 4 คนคนละ 25 คะแนน ส่งผลให้นายเนติวิทย์ ต้องพ้นจากประธานสภานิสิตจุฬาฯ และเพื่อนในกลุ่มอีก 4 คนก็พ้นจากตำแหน่งรองประธานฯ ฯลฯ และตำแหน่งอื่น ๆ อีก 3 ตำแหน่งแล้ว

แต่ในที่นี้ จะย้อนให้ฟังทรรศนะของผู้มีชื่อเสียงหลายคนต่อกรณีนี้เมื่อวันนั้น โดยรอบนั้นมากันครบทั้ง "กนก-พี่ดี้-อาจารย์ม.ดัง" ยันด้วยข้อเท็จจริง"เด็กคนนี้โคตรสับปลับ-สู้แบบคนอสัตย์-ไร้ค่า"

 

โดย "นายกนก รัตน์วงศ์สกุล" ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Kanok Ratwongsakul Fan Page "  ขณะนั้น ซึ่งเผยให้เห็นถึงพฤติการณ์จอมสับปลับของ "เนติวิทย์" เอาไว้เป็นอย่างดีว่า

 


"ก็ตกลงกับนายเนติวิทย์และพวกแล้วว่า พวกเอ็งมายืนโค้งคำนับตรงนี้ แต่พอถึงเวลาจริง กลุ่มนายเนติวิทย์กลับเดินตรงเข้าไป..เดินเข้าไป..ตรงหน้าพระบรมรูป รัชกาลที่ ๕ ซึ่งอาจารย์กลุ่มหนึ่งได้เข้าไปห้าม เพราะไม่รู้ว่ากลุ่มนี้จะเข้าไปทำอะไร แล้วมีอาจารย์ท่านหนึ่งล็อกคอจริง! ทำไมเนติวิทย์ ไม่อยู่ในที่ที่จัดไว้ให้ จะเดินไปทำอะไร? และตอนนั้นฝันแค่ปรอยๆ ไม่ได้ตกหนัก พิธีก็กำลังจะจบแล้ว
นิสิตทุกคน ได้รับแจกชุดกันฝน และอาจารย์ก็ไม่ได้ใช้ร่มกันฝนแต่อย่างใด เพราะฝนแค่ปรอยๆ นายคนนี้แสบมาก! จ้องป่วนพิธีที่เขาทำกันมาก่อนที่เนติวิทย์จะเกิดด้วยซ้ำ" ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ระบุ

 

 

ขณะที่นักแต่เพลงชื่อดัง และคนจุฬาฯ อย่าง "ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค" ก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ อีก เพราะข้อเท็จจริงนั้นมันต่างกับสิ่งที่ "เนติวิทย์" ตบตาสังคม โดยเขาออกมาโพสต์ถึงกรณีนี้ แบบถลกหนังหน้า "เนติวิทย์" เช่นกันใตตอนนั้นว่า 

 

"เป็นภาพที่ออกมาจากจิตสำนึกที่อ่อนโยน ความอดทนกับอุปสรรคนิดหน่อย เพื่อให้เกิดความเป็นหมู่คณะ มีจิตใจร่วมกัน มีวินัย และเคารพในความดีงามของผู้ที่ควรเคารพบูชา... ซึ่งกำลังมีคนพยายามทำลาย...อย่างมีแผนมีเจตนา ที่จะให้ความงามแห่งความอ่อนโยนนี้หมดไปจากประเทศชาติ รวมไปถึงการสร้างความแตกแยกให้เป็นรอยร้าวนักขึ้น ด้วยข้ออ้างของตคำว่า "หัวสมัยใหม่"

ถ้าอยากให้พจนานุกรมไทยยังมีคำว่า "เคารพ สัมมาคารวะ กาลเทศะ อ่อนโยน รักคนรอบข้าง" ฯลฯ ก็ต้องดูแลลูกหลานให้เป็นตามนั้น..
ย้ำอีกทีนะ...แม่ประไพ พ่อทิดเอิบ นายห้าง เถ้าแก่ ทุกคน"


นอกจากนี้ ยังพบข้อเขียน ของอาจารย์ศักดิ์ณรงค์ แห่งมหาวิทยาลัยรังสิต ที่กระเทาะเรื่องนี้อย่างถึงแก่น โดยอาจารย์จากมหาวิทยาลัยรังสิตมอง "เนติวิทย์" ด้วยสายตาของครูบาอาจารย์ แต่ก็ปอกเปลือก "ลิเบอร่าน-หัวก้าวหน้าจอมปลอม" ผู้นี้อย่างถึงแก่น โดยถึงกับบอกว่า "การต่อสู้ของ "เนติวิทย์" เป็นต่อสู้อย่างคนไม่มีสัจจะ (Truth) ไม่ถือสัตย์ ทำให้ไม่น่านับถือ ซึ่งเรื่องนี้สำนึกพื้นฐานในระดับจิตวิญญาณของความเป็นนักสู้ทางสังคมที่จะได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง แต่เนติวิทย์...ไม่ใช่ เพราะเขาฉีกข้อตกลงเพื่อสร้าง "ประกาย" การต่อสู้ของตัวเอง ด้วยการไม่อยู ไม่แสดงออกในที่ๆ และในแบบที่ตกลงกันไว้ แล้วเคลื่อนไหวให้เกิดประเด็นอย่างที่สังคมรับรู้ในเวลาต่อมา ไม่นับว่าทุกเรื่องที่เขากระทำต่อกรณีเหล่านี้นั้น...แทบหาความจริงใจไม่ได้

โดยข้อเขียนทั้งหมดของ อาจารย์ศักดิ์ณรงค์ ระบุรายละเอียดเอาไว้ในตอนนั้น คือ 


สมาชิกประชาคมจุฬาฯ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมแน่ เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับจารีตและคุณธรรมความดี จารีตถูกรักษาไว้เพราะมันโอบอุ้มคุณธรรมความดีบางอย่างที่จำเป็นสำหรับสังคมหรือสำหรับจุฬาฯ เอง แต่กล้าบอกได้ว่า ประชาคมจุฬาฯ ไม่ใช่พวกล้าสมัยและคับแคบจนไม่เปิดรับความแตกต่าง

 

เท่าที่สดับตรับฟังข้อมูลมาทั้งสองด้าน ความแตกต่างทางความคิดระหว่างเนติวิทย์และคณะของเขากับคณาจารย์ เจั้าหน้าที่และนิสิตส่วนใหญ่ได้รับ "การจัดสรรที่ทางตามข้อตกลง" ให้ได้แสดงออกตามแบบของตนเพียงพอและเหมาะสมแล้ว ถ้าเนติวิทย์และคณะไม่พลิกแพลงแปลงข้อตกลงเพื่อสร้าง "ประกาย" ของการต่อสู้ของเขาให้น่าสนใจ 


ด้วยการไม่อยู ไม่แสดงออกในที่ๆ และในแบบที่ตกลงกันไว้ แล้วเคลื่อนไหวให้เกิดประกายอย่างว่า (บางคนอาจใช้ภาษาว่า "ป่วน" บ้าง "เกรียน"บ่าง") มันก็ไม่มีอะไร 

 
ความเปลี่ยนแปลงแบบที่เนติวิทย์และคณะต้องการก็คงจะมีทางเกิดแบบค่อยๆ เปลี่ยน (ซึ่งพวกเขาอาจรอไม่ได้หรืออย่างไร?)


เท่าที่รับรู้ความเคลื่อนไหวของเนติวิทย์มาจนถึงเหตุการณ์ล่าสุด เนติวิทย์ซึ่งผมแอบชื่นชมในบางแง่มุมและในฐานะที่เขาอาจเป็น "ตัวแทนสร้างความเปลี่ยนแปลง"ในสังคมไทยได้ในอนาคตมีปัญหา (หรือคำถาม) อยู่ "สองสถาน" แต่เป็น "ประเด็นเดียว"นะครับ


ประเด็นเดียวคือ เขาต่อสู้อย่างคนไม่มีสัจจะ (Truth) ไม่ถือสัตย์ ทำให้ไม่น่านับถือ ซึ่งเป็นปัญหาสำนึกพื้นฐานในระดับจิตวิญญาณของความเป็นนักสู้ทางสังคมที่จะได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง


สถานแรก เนติวิทย์ไม่ทำตามข้อตกลง ถ้าคณาจารย์ เจ้าหน้าที่และเพื่อนพี่น้องนิสิตจุฬาฯ คือ ฝ่ายตรงข้ามที่เขาต้องเอาชนะทางความคิด เขาควรต้องทำตามข้อตกลงที่เขาและคณะร่วมสร้างขึ้น ถ้า (ก่อนหน้านั้น) ตกลงไม่ได้ เขาและคณะควรต้องไม่เข้าร่วมหรือแสดงออกในทางอื่น ไม่ใช่วางใจแอบแฝงเข้าร่วมตามกติกาแต่ฝืนผิดแปรการกระทำให้เกิดประกายแบบที่เอาแต่ประโยชน์ของฝ่ายตนเอง


สถานที่สอง มันเคลือบแคลงว่า เนติวิทย์ไม่ได้แสดงออกอย่างจริงใจว่า การเรียกร้องความเสมอภาคของเขาในบริบทแบบนี้นั้น เขาปฏิเสธสถาบันพระมหากษัตริย์ (แบบที่นักการเมืองหรือนักเคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งมีเจตจำนง) หรือเขาเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ เพียงแต่อยากแสดงออกในแบบที่สากลกว่าเท่านั้น


ถ้าเจตนารมณ์ของเขาเป็นถึงระดับแรก (ปฏิเสธสถาบันฯ) ข้ออ้างว่าที่แสดงออกเป็นเพียงในเรื่องระดับที่สอง (ยอมรับสถาบันฯ แต่อยากเปลี่ยนแปลงวิธีแสดงออก) มันคือ เรื่องที่ไม่น่านับถือในฐานะนักต่อสู้ (แม้จะเข้าใจได้ว่า การแสดงออกให้ชัดเช่นนั้นเป็นเรื่องลำบากมาก) 

ทำนองเดียวกับนักการเมืองและเคลื่อนไหวบางกลุ่มใช้กลยุทธ์แอบอ้างการเทิดทูนสถาบันฯ แต่บ่อนเซาะทำลายสถาบันฯ ไปพร้อมกัน 


น่าคิดว่า ถ้าเจตนารมณ์เป็นเพียงระดับที่สอง มันก็ดูจะมีขอบเขตที่แคบมาก และมีคำถามว่า สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวในภาพรวมที่ผ่านมาของเขาแค่ไหนเพียงไร?


อย่างไรก็ดี คนสมัยนี้เขาไม่ถือสัจจะความจริงกันแล้ว หรือเป็นสมัยที่เขาเล่นแร่แปรธาตุกับความจริงกันเก่ง ใครเก่งเรื่องพวกนี้ก็เป็นนักกลยุทธ์ที่ดีไป

กรณีสถานแรกนั้นผมว่าชัดเจนในตัว แต่สถานสองผมแค่ตั้งคำถามเตือนใจกันนะครับ

 
ขอบคุณข้อมูลจาก : ทุกท่านที่เอ่ยนาม โดยเฉพาะข้อเขียนจาก "อาจารย์ศักดิ์ณรงค์ แห่งมหาวิทยาลัยรังสิต"