ลอกคราบ"ยิ่งลักษณ์" ผ่านคำพิพากษา ถลกคำอ้าง"ดิฉันเป็นเหยื่อเกมการเมืองที่ลึกซึ้ง" ทำให้เธอกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะทันที-เพราะรู้เรื่องโกงมาตลอด

ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th

 

แม้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะพิพากษาจำคุก นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ และนายภูมิ สาระผล อดีต รมว. และรมช.พาณิชย์ และพวกจากคดีทุจริตระบายข้าวไปแล้ว กระทั่งได้ออกหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เหตุที่เธอไม่ยอมไปฟังคำตัดสินคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่ง 2 คดีเกี่ยวเนื่องกัน และสังคมก็รับทราบกันในวงกว้างเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าสำหรับผู้สนใจการเมือง และหากพยายามมองย้อนกลับไปก็จะพบความจริงที่น่าตระหนักว่า ตลอดเวลาที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อสู้คดีนี้ในชั้นศาล และตลอดเวลานัดสืบพยานฝ่ายจำเลยทั้ง 15-16 นัด ที่เธอมาร่วมฟังด้วยตนเองทุกครั้งนั้น...เธอไม่หวังต่อสู้ในทางคดี...เพราะท้ายที่สุด...รู้อยู่ตลอดเวลาว่า..ยังไงตัวเองก็ต้องหนี แต่กลเกมของเธอก็คือ...หวังใช้พื้นที่หน้าศาล...โจมตีทุกฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามเธอ พร้อม ๆ กับอ้อนสาวกเสื้อแดงไปในเวลาเดียวกัน

 

ผู้รู้ตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเรื่องนี้ชัดเจนว่า ทุกครั้งที่เธอเดินทางมาศาล และมีมวลชนเสื้อแดงล้อมหน้าล้อมหลังออกสื่อเครือข่ายตนเองนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งทนายความของเธอ แทบไม่เคยตอบคำถามได้เลยว่า พวกเขามีแนวทางในการต่อสู้คดี-หักล้างข้อกล่าวหาในการปล่อยปละให้เกิดการทุจริตครั้งมโหฬารนี้เช่นไร...และมีมากกว่า 1 ครั้งที่พยานฝ่ายจำเลย ซึ่งก็คือคนในเครือข่ายของพี่ชายเธอ ตอบมั่ว-ไม่ตรงคำถามในศาล...จนศาลย้ำอยู่หลายครั้งว่า "ผมถามเรื่องหนึ่ง-คุณตอบอีกเรื่องหนึ่ง-ช่วยตอบให้ตรงคำถามด้วย" 

 

ขณะที่ตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์เอง ก็ถือโอกาสเรียกคะแนนสงสารจากสาวกหน้าศาลทุกครั้งอย่างที่กล่าว แถมยังแฝงถ้อยคำบิดเบือนข้อเท็จจริงแห่งคดีทุกครั้งเช่นกัน...โดยเธอแทบจะอ้างแบบแผ่นเสียงตกร่องว่า...ที่ถูกดำเนินคดีทุจริตจำนำข้าวนั้น เพราะเธอถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง...อะไรทำนองนั้น


เรื่องนี้ชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดอีกครั้งในวันที่เธอแถลงปิดคดีด้วยวาจาเมื่อวันที่ วันที่ 1 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา โดยเธอร่ายยาวถึง ผลดีของโครงการรับจำนำข้าว ตามที่ทางทนายเตรียมไว้ให้ โดยก่อนจะจบคำแถลงปิดคดี เธอระบุในช่วงท้าย ๆ อย่างชัดเจนด้วยถ้อยคำบิดเบือนความจริงว่า "ดิฉันไม่ได้ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในการระบายข้าว ดิฉันรู้ดีว่าดิฉันเป็นเหยื่อของเกมการเมืองที่ลึกซึ้ง"

อย่างไรก็ตาม หลังห้วงเวลาผ่านพ้นมาจนถึงวันนี้ วันที่ศาลฯ พิพากษาคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และสั่งจำคุกผู้เกี่ยวข้องไปหลายราย และบางส่วนของคำพิพากษาที่ระบุชัดถึงความเกี่ยวเนื่องโยงใยไปถึงตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร ในฐานะที่เธอประธาน กขช. ในขณะนั้น ก็ทำให้คำบิดเบือนที่เธอกล่าวอ้างนั้น กลายเป็นเรื่องตลกไปในทันที


เพราะคำพิพากษา (บางส่วน) ของศาลฯ ถึงกับระบุว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า "นายภูมิ" ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุมอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ครั้งที่ 1/2554 มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวกรณีขายข้าวแบบจีทูจีให้รัฐวิสาหกิจ และในเรื่องหลักเกณฑ์ให้สามารถเจรจาขายเป็นราคา Ex-warehouse ซึ่งไม่เคยปรากฏในยุทธศาสตร์การระบายข้าวฉบับใดมาก่อน ที่ประชุมยังมีมติเสนอยุทธศาสตร์การระบายข้าวให้ประธานกรรมการ กขช. (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เห็นชอบ แทนที่จะเสนอให้ที่ประชุม กขช. เห็นชอบเพื่อให้เกิดมุมมองหลากหลาย รอบคอบ รัดกุม รวมถึงไม่เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ 

 

"หลังจากประธาน กขช. (น.ส.ยิ่งลักษณ์) เห็นชอบเพียง 5 วัน บริษัท กวางตุ้งฯ มีหนังสือถึงอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศขอซื้อข้าว สอดรับกับยุทธศาสตร์การระบายข้าวดังกล่าวอย่างเหมาะเจาะพอดี ยิ่งกว่านั้นบริษัท กวางตุ้งฯ ขอซื้อข้าวในสต็อกปริมาณทั้งหมดมากกว่า 2 ล้านตันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พร้อมกับขอซื้อข้าวในท้องนาที่ยังไม่ถึงกำหนดเก็บเกี่ยวปริมาณ 2 ล้านตันด้วย ซึ่งตรงกับระยะเวลาการเริ่มต้นดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลอย่างพอดิบพอดี ส่อแสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการจัดทำยุทธศาสตร์การระบายข้าวเพื่อรองรับรับรัฐวิสาหกิจของต่างประเทศให้มาซื้อข้าวรัฐบาลไทยได้โดยไม่ต้องได้รับมอบหมายจากรัฐบาลของตน

 

"หลังจากนั้นเพียง 2 วัน บริษัท กวางตุ้งฯ มีหนังสือฉบับที่ 2 ถึงอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ขอนัดหมายเจรจาในวันที่ 5 ต.ค. 2554 โดยปกติแล้วกระบวนการและขั้นตอนทางปฏิบัติเกี่ยวกับการซื้อขายแบบจีทูจี ต้องเสนอขอความเห็นชอบกรอบการเจรจาในเรื่องปริมาณ ราคา เงื่อนไขอื่น ๆ ต่อนายภูมิก่อนเจรจา แต่ไม่มีการขออนุมัติกรอบการเจรจา ทั้งการเจรจาได้ข้อสรุปและขอความเห็นชอบผลภายในวันเดียว และนายภูมิ ได้ให้ความเห็นชอบเงื่อนไขดังกล่าว และมีการลงนามสัญญาในวันรุ่งขึ้น รวมใช้ระยะเวลาทั้งหมดเพียง 9 วัน ทั้งที่สัญญามีมูลค่าสูงหลายหมื่นล้านบาท และผลการเจรจาปรากฏข้อพิรุธหลายประการดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว"

 

คำพิพากษาท่อนนี้ ชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องสรุปว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ รู้เห็นเป็นใจในการโกงครั้งนั้นหรือไม่...ทั้งทำให้สิ่งที่เธอพยายามพูดมาตลอดเวลาว่า ตัวเองถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองนั้น...กลายเป็นเรื่องมารยาสาไถในทันที