สื่อนอกตีข่าว ไทยติดโผทำธุรกิจกับเกาหลีเหนือ จ่อโดนทรัมป์ แบนการค้า พบเฟื่องฟูสุด “ยุคทักษิณ”

จากมติของสหประชาชาติถึงมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีซึ่งเป็นการลงโทษที่เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปถึง 2 ครั้งในเดือนก.ค. และครั้งล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาซึ่งเป็นการทดสอบนิวเคลียร์ที่เกาหลีเหนือระบุว่าเป็นความสำเร็จในการพัฒนาระเบิดไฮโดรเจนซึ่งสร้างความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีเป็นอย่างมาก ซึ่งมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือครั้งใหม่ที่เสนอโดยสหรัฐฯเมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมามีดังนี้ ห้ามมิให้เกาหลีเหนือส่งออกถ่านหิน เหล็ก สินแร่เหล็ก ตะกั่วและสินแร่ตะกั่ว รวมทั้งสินค้าจำพวกอาหารทะเล นอกจากนี้ยังห้ามเกาหลีเหนือส่งออกแรงงานไปยังต่างประเทศเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ห้ามก่อตั้งกิจการร่วมทุนใหม่กับเกาหลีเหนือ หรือลงทุนเพิ่มในกิจการร่วมทุนที่มีอยู่แล้ว

สื่อนอกตีข่าว ไทยติดโผทำธุรกิจกับเกาหลีเหนือ จ่อโดนทรัมป์ แบนการค้า พบเฟื่องฟูสุด “ยุคทักษิณ”

ซึ่งจากการส่งออกของเหล่านี้ เป็นแหล่งรายได้สำคัญที่ทำให้รัฐบาลเกาหลีเหนือได้เงินเพื่อนำไปใช้ในการสนับสนุนโครงการพัฒนาขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ แต่มาตรการคว่ำบาตรการส่งออกจะไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนเกาหลีเหนือ
จากมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือดังกล่าว ทำให้เกาหลีเหนือขาดรายได้จากการส่งออกของประเทศที่มีถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีลงราวหนึ่งในสาม เพื่อเป็นการลงโทษที่เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป
3 ก.ย. โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ว่า “สหรัฐอเมริกากำลังพิจารณา พร้อมไปกับทางเลือกอื่น ทำการหยุดการค้าขายทุกประเภทกับประเทศใดก็ตามที่ทำธุรกิจกับเกาหลีเหนือ”

8 ก.ย. สื่อของเยอรมนีเผยว่าไทยติดโผในกลุ่มประเทศที่อาจโดนสหรัฐฯพิจารณา เพราะมีตัวเลขการค้าร่วมส่งออก 2.1% กับเกาหลีเหนือในปี 2015 ตามกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเชีย พบค้า 2 ชาติ ซึ่งเฟื่องฟูสุดสมัยทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ โดยเกาหลีเหนือส่งเข้าไทยสูงถึง 144 ล้านดอลลาร์ ปี 2006 ส่วนไทยป้อนสินค้าเข้าถึง 237 ล้านดอลลาร์ในปี 2004 มีคอมพิวเตอร์เป็นสินค้าอันดับ 1 เมื่อเทียบกับตัวเลขการค้าปีสุดท้ายที่มีมูลค่าไม่ถึงร้อยล้านดอลลาร์

โดยพบว่าสินค้าที่ไทยส่งขายในสมัยทักษิณ ชินวัตร อันดับ 1 คือ คอมพิวเตอร์ 23 % หรือราว 46.8 ล้านดอลลาร์ของมูลค่าส่งออกโดยรวมที่ 201 ล้านดอลลาร์ในปี 2003 และยอดส่งออกที่สูงที่สุดเกิดขึ้นในปี 2004 โดยไทยส่งออกไปเกาหลีเหนือมีมูลค่า 237 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์สินค้าอันดับ 1 ที่ส่งออกเช่นเดิม คือ คอมพิวเตอร์ คิดเป็น 16% หรือราว 38.8 ล้านของมูลค่าส่งออกโดยรวมในขณะนั้น

 

ในทางกลับกัน ตัวเลขส่งออกของเกาหลีเหนือที่ไม่เคยไต่ถึงระดับหลักร้อยล้านดอลลาร์มาก่อนในการค้าขายกับไทย แต่พบว่าสามารถเกิดขึ้นได้ในสมัยนายกฯทักษิณ ชินวัตร โดยพบว่าในปี 2006 ปีสุดท้ายที่ทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกฯ เกาหลีเหนือส่งออกมาไทยสูงสุดที่ 144 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
ทาง OEC (สถาบันสังเกตการณ์ความซับซ้อนด้านเศรษฐกิจ) ชี้ว่า จากฐานข้อมูลของทางสถาบันที่เริ่มต้นจัดเก็บตั้งแต่ปี 1962 -2015 พบว่า ข้อมูลการค้าขายระหว่างไทยและเกาหลีเหนือเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1962 ซึ่งเป็นที่สังเกตว่า การค้าขายระหว่าง 2 ชาติมีมูลค่าสูงสุดเกิดขึ้นในสมัยของทักษิณ ชินวัตรยังเป็นนายกรัฐมนตรี และประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ คิม จองอิลผู้เป็นพ่อ โดยพบว่าตลอดระหว่างช่วงปี 2001-2006 ที่ทักษิณยังอยู่ในอำนาจ ไทยส่งสินค้าเข้าไปขายกับเกาหลีเหนือสูงสุดเป็นครั้งแรก โดยสามารถแตะในระดับหลัก 200 ล้านดอลลาร์สำเร็จเริ่มตั้งแต่ปี 2003-2006  แต่ตกลงมาในระดับร้อยกว่าในปี2007 หลังจากถูกปฎิวัติยึดอำนาจไปแล้ว ในช่วงตลอดที่ทักษิณยังคงดำรงตำแหน่งนายกฯ พบว่า มูลค้าการค้าระหว่างไทยกับเกาหลีเหนือ สูงขึ้นแบบเป็นขั้นบันได

โดยสื่อเยอรมนีอ้างอิงจากตัวเลขรายงานเศรษฐกิจในปี 2015 ของ OEC  (สถาบันสังเกตการณ์ความซับซ้อนด้านเศรษฐกิจ) ประจำสถาบันเทคโนโลยีแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ โดยสื่อเยอรมนีชี้ว่า ในด้านส่งสินค้าป้อนเกาหลีเหนือ อันดับที่ 1 จีน อันดับที่ 2 อินเดีย แล้ว พบว่าไทยติดโผมาเป็นอันดับ 4 คิดเป็น 2.1% เมื่อเปรียบเทียบกับจีน 85% อินเดีย 3.1% รัสเซีย 2.3% ฟิลิปปินส์ 1.5% และเม็กซิโก 1.3% ตามลำดับ  ซึ่งเป็นการเปิดเผยครั้งแรกที่ไม่เคยมีมาก่อนทั้งนี้

สื่อนอกตีข่าว ไทยติดโผทำธุรกิจกับเกาหลีเหนือ จ่อโดนทรัมป์ แบนการค้า พบเฟื่องฟูสุด “ยุคทักษิณ”