โถ...แกล้งลืม!! ตอน"เสี่ยโอ๊ค" หลุดคดีปี 55 ต่างยิ้มกริ่ม แต่เมื่อชื่อกลับมาอยู่ในสำนวนฟอกเงินอีกครั้ง องคาพยพระบอบทักษิณ-โวยวายราวโลกจะถล่ม

ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th

 

อารมณ์ เคนหล้า สำนักข่าว Tnews

 

นับว่าเต้นเป็นเจ้าเข้าทั้งองคาพยพทีเดียว สำหรับแกนนำเสื้อแดง และแกนนำพรรคเพื่อไทย เมื่อที่ประชุมคดีฟอกเงินจากการทุจริตอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย ซึ่งประกอบไปด้วย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ , นายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 3 และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้มีมติสั่งให้แจ้งข้อกล่าวหา "นายพานทองแท้ ชินวัตร-ลูกชายนายใหญ่" ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินจากคดีดังกล่าว โดยมีกรอบกำหนดระยะเวลาการทำคดีให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 เดือน ก่อนออกหมายเรียกให้ผู้ต้องหาเข้ามาชี้แจงแสดงพยานหลักฐานต่อไป โดยลืมไปว่า ตอน"เสี่ยโอ๊ค" ชื่อหลุดคดี อัยการสั่งไม่ฟ้องเมื่อปี 55 พวกตัวเองต่างยิ้มกริ่ม...มาวันนี้เมื่อ...กรรมยังทำงานอยู่กลับออกมาโวยวายราวโลกจะถล่ม

 

โดยล่าสุด นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดง ออกมาโวยวายกรณีนี้ทันทีทำนองว่า นายพานทองแท้นั้น...ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง เหมือนที่แกนนำเสื้อแดงก็มักพูดประโยคนี้ทุกครั้งที่ คนใน "เครือข่ายระบอบทักษิณ" ส่อเค้าว่าจะถูกดำเนินคดี และต้องพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม 


โดยเขาระบุว่า ถ้าการสั่งย้าย พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ คือไม่ตอบสนองต่อคำสั่งให้เร่งดำเนินคดีนายพานทองแท้ ทั้งที่พยานหลักฐานยังไม่สมบูรณ์ ตามที่เจ้าตัวร้องทุกข์คำสั่งกระทรวงยุติธรรม เรื่องนี้ก็ไม่ถือเป็นปัญหาส่วนตัวของพ.ต.ท.สมบูรณ์ ในฐานะเจ้าพนักงาน และไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของ นายพานทองแท้ ของผู้ถูกกล่าวหา แต่เป็นเรื่องการใช้อำนาจกดดันกระบวนการยุติธรรม เพื่อเล่นงานบุคคลที่ถือเป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของผู้มีอำนาจหรือไม่

 

นายณัฐวุฒิ ยังอ้างอีกว่า หลักในการพิจารณาคดีของศาล หากเห็นว่าพยานหลักฐานยังมีข้อน่าสงสัยก็จะยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย แต่กรณี นายพานทองแท้ แม้ยังมีข้อไม่สมบูรณ์ หรือบางข้อหากหมดอายุความไปแล้ว ก็ยังจะยัดเยียดให้เป็นจำเลย เรื่องแบบนี้ต้องระมัดระวัง เพราะอาจเป็นการตอกลิ่มความขัดแย้งได้ ทั้งนี้ แม้ยังไม่มีข้อมูลส่วนใดชี้ว่าเกี่ยวข้องกับคนสำคัญในรัฐบาล แต่น่าห่วงว่า พอเป็นข่าวสังคมอาจเกิดความเคลือบแคลงสงสัย ส่วนตัวเห็นว่าควรมีคำอธิบายที่ชัดเจนต่อคำร้องทุกข์ของ พ.ต.ท.สมบูรณ์ และข้อสั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา อย่าให้บ้านเมืองเกิดวิธีคิดว่า ความอยุติธรรมเป็นมรดกตกทอดจากพี่สู่น้อง จากพ่อสู่ลูกได้

 

เขาเล่นใหญ่ระดับจงใจหวดไปทั้งสังคมไทย (เฉพาะฝ่ายที่ยืนอยู่คนละข้างกับเขา) ว่า "อย่าให้บ้านเมืองเกิดวิธีคิดว่า ความอยุติธรรมเป็นมรดกตกทอดจากพี่สู่น้อง จากพ่อสู่ลูกได้"...นั่นคือสิ่งที่แกนนำแดงกล่าวอ้าง และจงใจหวดไปทั้งสังคมอย่างที่กล่าว

 

แต่ไม่ทันขาดคำนายณัฐวุฒิ ในชั่วโมงต่อมานายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ก็ออกมากล่าวสำทับในเรื่องเดียวกันนี้ว่า จากการติดตามรายละเอียดต่างๆ ของคดี พบว่าคดีเริ่มต้นเมื่อมีการรัฐประหารรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี พ.ศ.2549 โดยมีการจัดตั้ง คตส.มีการสอบสวนเอาผิดรัฐบาลในอดีตหลายคดี รวมทั้งคดีการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้ กับบริษัทกฤษดามหานคร ทาง คตส.ได้มีมติให้ฟ้องร้องนายทักษิณ และผู้เกี่ยวข้องหลายคน รวมทั้งนายพานทองแท้ว่า เป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐให้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.ความผิดของพนักงาน และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ

 

“คดีดังกล่าวอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องนายพานทองแท้ และพวก ครั้นเมื่อมีการโอนคดีจาก คตส.มายัง ป.ป.ช.ภายหลัง คตส.สิ้นสุดลง ป.ป.ช.ก็มิได้นำคดีมาฟ้องร้องนายพานทองแท้กับพวกแต่อย่างใด ซึ่งโดยปกติเรื่องก็ควรจะยุติสิ้นสุด ต่อมาในปี 2557 มีการหยิบยกประเด็นให้มีการดำเนินคดีกับนายพานทองแท้ กับพวก ในความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน และข้อหารับของโจร และได้มีการตั้งพนักงานสอบสวน ในที่สุดได้มีมติยุติข้อหารับของโจร เนื่องจากขาดอายุความ ส่วนข้อหาตามกฎหมายฟอกเงิน เห็นว่า พยานหลักฐานไม่เพียงพอ” นายชูศักดิ์ ให้เหตุผล

 

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อหวนกลับไปพลิกแฟ้มคดีดังกล่าว โดยมองย้อนกลับไปถึงชั้นการสอบสวนของ “ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ที่นายชูศักดิ์กล่าวอ้าง จะพบว่า เมื่อตอนที่ คตส. สรุปสำนวนคดีส่งให้ ป.ป.ช. ไต่สวนต่อนั้น (คือ คตส.หมดหน้าที่ และหน่วยงานที่ทำคดีต่อ คือ ป.ป.ช.)  ในสำนวนของ คตส. มีผู้กระทำความผิดถึง 31 คน  และกรรมการ คตส. บางท่าน เคยระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การดำเนินการปล่อยกู้มีการดำเนินการเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การอนุมัติสินเชื่อโดยเร่งด่วน มีเงินที่นำไปให้พวกพ้อง มีการ "โอนเงินให้ "ลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่" ที่เป็นผู้สั่งการให้อนุมัติสินเชื่อ จากนั้นก็โอนเงินให้บิดาของอดีต ส.ส.ลูกพรรค และโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของบิดา, เลขาฯ ส่วนตัว ของภรรยาหัวหน้าพรรค เป็นเหตุให้ธนาคารกรุงไทยเสียหาย 4.5 พันล้านบาท" กรรมการ คตส. ท่านหนึ่ง ให้เบาะแส ซึ่งเกิดจากการตรวจพบเส้นทางการเงินที่โยงใยถึง  "ลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่" ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน

 

และจากแฟ้มสำนวนคดีแบงก์กรุงไทยฯ ของ คตส. ก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า มติของคณะกรรมการตรวจสอบฯ ซึ่งพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 28/2551 เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 ได้มีมติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนายพานทองแท้ ว่า “ส่วนผู้ที่ได้รับเงินจากการกระทำความผิด คตส. เห็นว่า ให้ดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 ฐานรับของโจร เป็นจำนวน 4 ราย แม้บุคคลเหล่านั้นไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับบุคคล 27 รายข้างต้น แต่ได้รับเงินที่ได้จากการกระทำความผิดฐานยักยอก และช่วยปิดบังซ่อนเร้นอันทำให้ยากต่อการติดตาม และบุคคลทั้งสี่นี้ให้แยกสำนวนไปดำเนินคดีในศาลอาญาต่อไป”

 

อย่างไรก็ตาม คดีนี้เมื่ออัยการสูงสุด ตัดสินใจเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 13 มิ.ย 2555 หรือเมื่อกว่า 5 ปีก่อน โดยมี นายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 นอกนั้นก็มี กรรมการบริหาร, กรรมการสินเชื่อ, เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารกรุงไทย และกลุ่มบริษัทเอกชน รวม 27 รายเป็นจำเลยร่วม หลังจากถูกสังคมตั้งคำถามกรณีนี้อย่างหนักหน่วง ว่าเหตุใดจึงอึดอาดนัก ทว่าในคำฟ้องนั้นกลับทำให้สังคมคลางแคลงใจยิ่งขึ้นไปอีก เพราะพบว่ามีถึง 4 คน ที่เคยถูก คตส. กล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้อย่างชัดเจน กลับหลุดคดี คือ อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง และ 1 ในคนที่ได้ประโยชน์นั้น ได้แก่ "นายพานทองแท้ ชินวัตร" ที่หวนกลับมามีชื่อในสำนวนอีกครั้งในวันนี้  และทำให้ "แก๊งแดง" และแกนนำเพื่อไทยบางคนเต้นเป็นเจ้าเข้าในวันนี้ 

 

ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อกรณีที่ชื่อของนายพานทองแท้หายไป ที่ผ่านมาทางอัยการสูงสุดกลับไม่ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้แก่สังคมมากนัก มีอภินิหารอะไรในเรื่องนี้หรือไม่ และปล่อยให้คนไทยที่มักจะลืมอะไรง่ายๆ ลืมเลือนไปเอง ขณะที่แกนนำแดง หรือองคาพยพของ "ระบอบทักษิณ" ก็คงจะยิ้มกริ่มหัวเราะร่าไปในวันนั้น แต่ก็นั่นแหล่ะ เมื่อคดีฟอกเงินยังไม่สิ้นอายุความ (แม้คดีรับของโจรจะหมดอายุความไปแล้วก็ตาม ซึ่งเรื่องนี้แกนนำแดง-พท. ก็คงจะยิ้มกริ่มหัวเราะร่าอีกเช่นกัน) ก็คล้ายกับว่ากรรมยังไล่ล่าได้ตลอดเวลา

 

ล่าสุด ที่ประชุมคดีฟอกเงินปล่อยกู้แบงค์กรุงไทยมีมติสั่งให้แจ้งข้อกล่าวหา "นายพานทองแท้ ชินวัตร-ลูกชายนายใหญ่" แล้วก่อนที่คดีจะหมกอายุความในปี 2561 หรืออีกแค่ 1 ปีข้างหน้านี้

 

...และนั่นเอง...เป็นเหตุให้ องคาพยพของ "ระบอบทักษิณ" ออกมาโวยวายราวโลกจะถล่ม...ขณะที่ตัวนายพานทองแท้เอง...ก็ออกโพสต์ข้อความบนเฟสบุ๊คส่วนตัว โดยหยิบยกคำกล่าวของ "มงแต็สกีเยอ" ที่นายทักษิณ ชินวัตร พ่อของเขานำมาทวิตเมื่อวันก่อน พร้อมข้อแก้ตัวอีกยาวเหยียด ทำนองแผ่นเสียงตกร่องที่ว่า...ฝ่ายรัฐฯ ใช้อำนาจเล่นงานตน...อะไรทำนองนั้น

 

...ส่วนสุดท้ายคดีนี้...จะลงเอยเช่นไร "นายพานทองแท้" รวมทั้งอีก 3 คน ที่ชื่อหลุดไปเมื่อครั้งปี 55 จะตกเป็นจำเลยคดีนี้หรือไม่...โปรดติดตามแบบ...ห้ามกะพริบตา