พลิกแฟ้ม-คดีปล่อยกู้กรุงไทย! ทำไมลูกชายนายใหญ่จึงเต้นเป็นเจ้าเข้า และกลายเป็น"ชินวัตร" รายล่าสุดที่เสี่ยงคุกจากคดีนี้..ตามรอยพ่อ-อาสาว-ทำไม?

ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th

 


หลัง DSI ได้ออกหมายเรียก นาย "พานทองแท้ ชินวัตร" บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีนายกรัฐมนตรีผู้อื้อฉาว กับพวกรวม 4 คน ให้มารับทราบข้อกล่าวหาฐาน "ฟอกเงินและสมคบกับฟอกเงิน" ในคดีทุจริตการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยแก่กลุ่มกฤษดามหานคร ในวันที่ 24 ต.ค. ที่จะถึงนี้ พร้อมระบุด้วยว่า พนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา แต่ก็ต้องออกหมายเรียกให้ทางผู้ถูกกล่าวหาเข้าชี้แจงข้อเท็จจริง และนำหลักฐานมาชี้แจง ซึ่งก็พร้อมตรวจสอบคำร้องและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา

 

คดีทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทยนับเป็นอีกหนึ่งมหากาพย์การโกงที่ยืดเยื้อยาวนานพอสมควร กระทั่งอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ถูกศาลฎีกาฯ นักการเมืองจำคุกไปถึง 18 ปี เมื่อกลางปี 2558 หรือเมื่อ 2 ปีก่อน ขณะที่ชื่อของนายพานทองแท้ ก็คาบลูกคาบดอกในคดีนี้มาโดยตลอด


อย่างไรก็ตาม หากจะทำความเข้าใจคดีนี้ต้องย้อนกลับไปถึงชั้นการสอบสวนของ “ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ซึ่งเกิดขึ้นหลังเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยพล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน โดยตอนที่ คตส. สรุปสำนวนคดีส่งให้ ป.ป.ช. ไต่สวนต่อนั้น (คือ คตส.หมดหน้าที่ และหน่วยงานที่ทำคดีต่อ คือ ป.ป.ช.)  ในสำนวนของ คตส. มีผู้กระทำความผิดถึง 31 คน  และกรรมการ คตส. บางท่าน เคยระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การดำเนินการปล่อยกู้มีการดำเนินการเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การอนุมัติสินเชื่อโดยเร่งด่วน มีเงินที่นำไปให้พวกพ้อง มีการ "โอนเงินให้ "ลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่" ที่เป็นผู้สั่งการให้อนุมัติสินเชื่อ จากนั้นก็โอนเงินให้บิดาของอดีต ส.ส.ลูกพรรค และโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของบิดา, เลขาฯ ส่วนตัว ของภรรยาหัวหน้าพรรค เป็นเหตุให้ธนาคารกรุงไทยเสียหาย 4.5 พันล้านบาท" กรรมการ คตส. ท่านหนึ่ง ให้เบาะแส ซึ่งเกิดจากการตรวจพบเส้นทางการเงินที่โยงใยถึง  "ลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่" ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน

 

และจากแฟ้มสำนวนคดีแบงก์กรุงไทยฯ ของ คตส. ก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า มติของคณะกรรมการตรวจสอบฯ ซึ่งพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 28/2551 เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 ได้มีมติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนายพานทองแท้ ว่า “ส่วนผู้ที่ได้รับเงินจากการกระทำความผิด คตส. เห็นว่า ให้ดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 ฐานรับของโจร เป็นจำนวน 4 ราย แม้บุคคลเหล่านั้นไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับบุคคล 27 รายข้างต้น แต่ได้รับเงินที่ได้จากการกระทำความผิดฐานยักยอก และช่วยปิดบังซ่อนเร้นอันทำให้ยากต่อการติดตาม และบุคคลทั้งสี่นี้ให้แยกสำนวนไปดำเนินคดีในศาลอาญาต่อไป”

 

อย่างไรก็ตาม คดีนี้เมื่ออัยการสูงสุด ตัดสินใจเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 13 มิ.ย 2555 หรือเมื่อกว่า 5 ปีก่อน โดยมี นายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 นอกนั้นก็มี กรรมการบริหาร, กรรมการสินเชื่อ, เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารกรุงไทย และกลุ่มบริษัทเอกชน รวม 27 รายเป็นจำเลยร่วม หลังจากถูกสังคมตั้งคำถามกรณีนี้อย่างหนักหน่วง ว่าเหตุใดจึงอึดอาดนัก ทว่าในคำฟ้องนั้นกลับทำให้สังคมคลางแคลงใจยิ่งขึ้นไปอีก เพราะพบว่ามีถึง 4 คน ที่เคยถูก คตส. กล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้อย่างชัดเจน กลับหลุดคดี คือ อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง และ 1 ในคนที่ได้ประโยชน์นั้น ได้แก่ "นายพานทองแท้ ชินวัตร" ที่หวนกลับมามีชื่อในสำนวนอีกครั้งในวันนี้  

 

ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อกรณีที่ชื่อของนายพานทองแท้หายไป ที่ผ่านมาทางอัยการสูงสุดกลับไม่ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้แก่สังคมมากนัก มีอภินิหารอะไรในเรื่องนี้หรือไม่ และปล่อยให้คาใจคนไทยที่รักความถูกต้องมาจนวันนี้ (เหมือนกับที่ถอนฟ้องคดีธรรมกาย ที่เหลือการสอบพยานอีกแค่ 2 ปากไม่มีผิด)

 

 

แต่ก็นั่นแหล่ะ ท้ายที่สุดชื่อของ "นายพานทองแท้" ได้หวนกลับมาอยู่ในสำนวนอีกครั้งหลังคดีถูกพลิกแฟ้ม กระทั่งถูกเรียกเข้ารับทราบข้อหาฟอกเงินวานนี้ ก่อนที่คดีจะหมดอายุความไปในต้นปี 2561 เหมือนกับที่คดีรับของโจรถูกยื้อจนหมดอายุความไปต่อหน้าต่อตา และการแจ้งข้อกล่าวหาในครั้งนี้ เป็นผลมาจาก ก่อนหน้านี้ทาง ป.ป.ง.ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษให้ DSI ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเงินจำนวน 10 ล้านบาท และ 26 ล้านบาท ซึ่งเปรียบเสมือนเงินปากถุงจากการปล่อยกู้คดีดังกล่าว และถึงแม้ทางด้านนายพานทองแท้ จะเคยเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน ในฐานะพยานไปแล้ว แต่พนักงานสอบสวนไม่เชื่อในหลักฐานที่พยานนำเข้าชี้แจง ประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดีเข้าองค์ประกอบความผิด ของกฎหมายฟอกเงิน จึงมีมติให้ออกหมายเรียกเข้ารับทราบข้อกล่าวหานี้

 

และถึงแม้ล่าสุดวันนี้ นายชุมสาย ศรียาภัย ซึ่งเป็นทนายความของนายพานทองแท้ จะเข้ายื่นหนังสือต่อ DSI โดยอ้างว่า คสต. ได้แจ้งข้อหานายพานทองแท้ในข้อหารับของโจรเพียงข้อหาเดียวเท่านั้น ดังนั้น จะดำเนินคดีข้อหาฟอกเงินกับนายพานทองแท้ไม่ได้...นั่นก็เป็นแค่คำแก้ต่างของผู้ถูกกล่าวหา...และดูจะขัดแย้งกับความเห็นของ DSI ก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ส่วนสุดท้ายเรี่องนี้จะลงเอยอย่างไร...ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนายใหญ่จะต้องระเห็จออกนอกประเทศ...ซ้ำรอยผู้พ่อ และอาสาวหรือไม่...โปรดติดตามอย่ากะพริบตา