กลัวหมดตระกูล! "ทักษิณ"ผวาคดี"โอ๊ค" หวั่นซ้ำรอยตน-น้องสาวต้องระเห็จถาวร ส่งมือดี"ชัยเกษม" คุมคดี แค่นี้ก็ชัดว่าชะตากรรม"หนูโอ๊ค" หนักแค่ไหน

ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th

 

แก้ไขเพิ่มเติม 2 ต.ค. 2560 เวลา 11.54 น.

 

นับว่ากลับมาอยู่ในความสนใจของคอการเมืองทันที หลังอธิบดี DSI ออกมาเปิดเผยวานนี้ว่า ทาง DSI กำลังรอเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมจาก "นายพานทองแท้ ชินวัตร"  บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของ "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ ผู้อื้อฉาว จาก "คดีฟอกเงินแบงค์กรุงไทยฯ"  หลังเขา และทีมทนายความเดินทางเข้ารับทราบข้อหาจากคดีดังกล่าว พร้อมรับสภาพ "ผู้ต้องหาเต็มตัว" ไปเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดย อธิบดี DSI ระบุวานนี้ด้วยว่า คณะพนักงานสอบสวนจะเร่งส่งสำนวนให้อัยการภายในเดือน พ.ย.นี้ และในวันที่ 8 พ.ย.ที่จะถึงนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ ซึ่งคาดว่าจะนำคดีนี้เข้าที่ประชุมด้วย และคงจะมีความคืบออกมา...นั่นเองจึงเป็นเหตุให้  "คดีฟอกเงินแบงค์กรุงไทยของนายพานทองแท้" กลับมาอยู่ในความสนใจของสาธารณชนอีกครั้ง 

 

หากเป็นผู้ติดตามการเมือง จะรู้ว่าคดีนี้ผู้เกี่ยวข้องหลายราย โดยเฉพาะอดีตผู้บริหารแบงค์กรุงไทยนั้น พาเหรดกันเข้าไปนอนในคุกนับสิบ ๆ ปีกันเกือบหมดแล้ว เหลือแต่กลุ่มก้อนของนายพานทองแท้ และพวกนี่แหล่ะที่คดียังอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน DSI อย่างไรก็ตาม เมื่อนายพานทองแท้ปรากฎตัวรับทราบข้อกล่าวหา ก็ถือว่าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว และปลายทางจะเป็นเช่นไร...นั่นยากที่จะคาดเดา เพราะทั้งหลายทั้งปวงขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่คู่ความทั้ง 2 ฝ่ายจะนำมาหักล้างต่อสู้กัน 

 

แต่ทว่า สิ่งที่ทำให้คอการเมืองเพ่งสายตาจับจ้องไปที่ฝ่ายนายพานทองแท้มากกว่าทุกครั้งก็คือ บุคคลที่รับบทหัวหน้าทีมทนายความของเขา ซึ่งก็คือ "นายชัยเกษม นิติสิริ"  อดีต รมว.ยุติธรรมยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยได้เปิดตัวเมื่อวันที่นายพานทองแท้ เดินทางเข้ารับทราบข้อหานั่นเอง

 

การปรากฏตัวของ "ชัยเกษม" ในฐานะหัวหน้าทีมทนายความ ทำให้หลายฝ่ายวิเคราะห์ไปในทิศทางที่ตรงกันว่า เป็นเพราะคดีนี้ "ทักษิณ" ไม่ยอมเล่นเกมเสี่ยงเหมือนคดีอื่นๆ  เพราะยังไงพานทองแท้ก็คือบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของเขา จึงส่ง "ชัยเกษม" ซึ่งถือเป็นมือกฎหมายเบอร์ต้น ๆ ของพรรคฯ ลงมาดูคดีด้วยตนเอง แม้แต่คดีจำนำข้าวของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแกนหลักของ "ระบอบทักษิณ" และเป็นน้องสาวของเขา ยังไม่ขนาดนี้ เพราะยังเลือกใช้ทีมทนายของนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง แบบปกติๆ ดังนั้น เมื่อชื่อของ "ชัยเกษม" ที่เคยเป็นถึง "อัยการสูงสุด" ถูกหยิบมาเป็นหัวหน้าทีมแก้ต่างคดีให้กับลูกชาย...เรื่องนี้จึงไม่ธรรมดา ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นอย่างปิดไม่มิดเช่นว่า..."ทักษิณ" เองคงหวาดผวาอยู่ไม่น้อย และคดีของพานทองแท้นั้น...หนักหนาสาหัสเพียงใด...นายใหญ่แห่งระบอบทักษิณจึงไม่อาจดูเบาในเรื่องนี้ได้

 

ว่ากันว่า ในพรรคเพื่อไทยยามนี้ เรื่องอื่น ๆ แม้กระทั่งประเด็นปลดล็อคพรรคการเมือง ที่ลูกพรรคเพื่อไทยบางคนออกมาเย้ว ๆ นั้น...แท้จริงเป็นแค่เรื่องรอง ๆ และทำไปแบบแกน ๆ เท่านั้น เพราะสิ่งสำคัญกว่าขณะนี้คือ การระดมสมองของพรรคฯ เพื่อตีตก-แก้ต่างคดีให้นายพานทองแท้ให้ได้...นั่นแท้จริงกว่า

 

ขณะที่หากมองมาที่นายชัยเกษม นิติสิริ ก็จะพบว่ามีความแนบแน่นกับทักษิณ และทักษิณไว้วางใจมากน้อยเพียงใด โดยเขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่หัวหน้าคณะฝ่ายรัฐบาลของ น.ส. ยิ่งลักษณ์  เข้าพูดคุยกับฝ่ายทหาร เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 ก่อนที่คำพูดของเขาที่ยืนยันว่า  "รัฐบาล (ซึ่งขณะนั้นหมดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศแล้ว) จะไม่ลาออกทั้งรายบุคคล และทั้งคณะ" จะทำให้ฝ่ายทหารหมดความอดทน ประกาศยึดอำนาจในวินาทีต่อมา ดังนั้น เมื่อชัยเกษม มาคุมคดีเอง ย่อมหมายถึงทักษิณส่งสัญญาณสู้คดีลูกชายเต็มที่ และเขาหวังถึงขั้นหลุดข้อกล่าวหาเสียด้วย

 

แม้คดีนี้ทาง DSI จะมั่นใจในพยานหลักฐานว่า สามารถเอาผิดนายพานทองแท้ และส่งฟ้องได้ก่อนหมดอายุความกลางปี 2561 ได้แน่ แต่ทางนายพานทองแท้เอง ก็มั่นใจในพยานหลักฐานของตัวเองเช่นกัน โดยยืนยันหลักแน่นถึงความบริสุทธิ์ของตนเอง และอ้างว่าไม่มีเจตนาซุกซ่อนอำพรางทรัพย์สินตามที่ DSI กล่าวหา ทั้งพร้อมจะต่อสู้คดีนี้อย่างถึงที่สุด (ซึ่งคาดว่าเขาคงสู้คดีในประเด็นนี้ คือประเด็นไม่มีเจตนาซุกซ่อนอำพรางทรัพย์สินตามที่ DSI กล่าวหา ตามที่ได้เคยส่งทนาย เปรย ๆ เรื่องนี้มาแล้ว)

 

ว่าไปแล้ว...ดูเหมือนคดีนี้ ต่างฝ่ายต่างมั่นใจในหลักฐานของตนเอง ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผลของคดีน่าสนใจเป็นเท่าทวีคูณ ส่วนปลายทางจริง ๆ จะลงเอยเช่นไร คงยังไม่มีใครสามารถไปล่วงรู้ได้ เพราะยังเหลือเวลาต่อสู้ในชั้นศาลอีกยาวนาน (หากคดีขึ้นสู่ศาล) หรือในอีกแง่มุมหนึ่ง...คดีอาจตกไปในชั้น DSI นี้เลย...ด้วยหลักฐานการแก้ข้อกล่าวหาของทางทีมทนายของ "นายพานทองแท้" ฟังขึ้น

 

ทั้งหลายทั้งปวงนั่น ยิ่งทำให้คอการเมืองจับจ้องคดีนี้แบบตาไม่กะพริบตา...เหนืออื่นใดก็คือ หลายคนอยากรู้เสียทีว่า คดีที่ถูกแช่แข็ง และใช้อภินิหารย์ทางการเมืองยื้อยุดฉุดกระชากมานานนับ 10 ปี จนคดีจะหมดอายุความอยู่รอมร่อในกลางปีหน้า สุดท้ายจะลงเอยเช่นไร จะขึ้นสู่ศาลหรือไม่ และลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนายใหญ่...จะมีชะตากรรมเหมือน...พ่อและอาสาว...ที่ต้องระเห็จออกนอกประเทศหรือไม่-อย่างไร...ทั้งหมดนั้นล้วนที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนทั้งสิ้น