ฟังชัดๆ“สนธิญาณ” ลาจัดวิทยุ-โทรทัศน์!! “กสทช.”สั่งปิดรายการ ข้อหา“จงรักภักดี แต่ไม่พูดราชาศัพท์ จึงควรโดน ม.112” ถามกลับ “คิดตื้น”ไปหรือไม่?

จากกรณีที่นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กสทช.  มีมติให้บริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด หรือช่องสปริงนิวส์ ระงับการออกอากาศ รายการ “สนธิญาณฟันธงตรงประเด็น” เป็นระยะเวลา 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามข้อ 19 ของประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 เนื่องจากพบว่า การออกอากาศรายการสนธิญาณฟังธงตรงประเด็น เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2560 มีเนื้อหาซึ่งนำเสนอเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยใช้คำพูดในลักษณะที่ไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมของสื่อ เป็นการขัดต่อ ข้อ 14(10) ของประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 และเห็นสมควรส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

 

ในเรื่องดังกล่าว นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ประธานบริหาร และบรรณาธิการอำนวยการ สำนักข่าวทีนิวส์ ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น กับกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า...

 

มีท่านผู้ชมท่านผู้ฟังวิทยุโทรทัศน์เข้ามาทางทั้ง Facebook ส่วนตัว Facebook FAN pagesทั้งที่ สปริงเรดิโอหรือทีนิวส์ เยอะแยะไปหมด เนื่องจากว่ามันมีข่าวออกมารู้จัก “คุณฐากร ตัณฑสิทธิ์” หรือไม่? 

 

แต่บังเอิญมีเรื่องที่เกี่ยวพันกับตน เนื่องจากว่าในการประชุมของ “กสทช” ซึ่งก็พูดกันในเรื่องการพิจารณาคืนความถี่และมีประเด็นแถมท้ายหนึ่งประเด็น ข่าวสารว่าอย่างนี้ ... ที่ประชุม กสทช. เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2560 มีมติให้บริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด หรือช่องสปริงนิวส์ ระงับการออกอากาศ รายการ “สนธิญาณฟันธงตรงประเด็น” เป็นระยะเวลา 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามข้อ 19 ของประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 เนื่องจากพบว่า การออกอากาศรายการสนธิญาณฟังธงตรงประเด็น เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2560 มีเนื้อหาซึ่งนำเสนอเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยใช้คำพูดในลักษณะที่ไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมของสื่อ เป็นการขัดต่อ ข้อ 14(10) ของประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 และเห็นสมควรส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรงนี้สำคัญ ! เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

 

ประเด็นที่ต้องพูดกันว่าตนจัดรายการในวันนั้นวันที่ 21 ตุลาคมซึ่งเป็นวันที่ใกล้กลับวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ประเด็นในการจัดรายการวันนั้น ชื่อรายการ “ราชาแห่งราชาทั้งปวง”  ระหว่างจัดรายการไปสนธิญาณร้องไห้ไปไม่ได้สำออยไม่ได้เป็นคนร้องไห้ง่ายง่ายร้องเพราะสำนึกในพระมหากรุณาที่คุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 ที่ทรงงานเพื่อคนไทยมาตลอด 70 ปี ทำไมต้องร้องไห้เมื่อสำนึกในพระมหากรุณาที่คุณ.. ก็เพราะตื่นตันใจมากภายใต้ความตื่นตันใจและความตนก็ลำดับความให้ท่านผู้ชมดูได้ชม ว่าท่านผู้ชมรู้หรือไม่ภายใต้ความยิ่งใหญ่ที่พระองค์ท่านได้รับการจารึกโจษขาน ยอมรับประกาศเกียรติคุณไปทั่วทั้งโลกชีวิตของพระองค์ท่านนั้น มีความเจ็บปวดรวดร้าวและเปิดเพลงชะตาชีวิต

 

“นกน้อยคล้อยบินมาเดียวดาย...คิดคิดมิวายกังวลให้หม่นฤทัยหมอง”   ซึ่งในวิทยุก็ จัดแบบนี้เปิดเพลงนี้ ซึ่งเป็นเพลงพระราชนิพนธ์แม้เนื้อหาพระองค์ท่านไม่ได้พระราชนิพนธ์เองแต่ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ทูลเกล้าถวาย ก็ได้บรรยายให้ฟัง ซึ่งได้บรรยายไปว่าพระองค์ท่านขึ้นของราชย์ เมื่อวันที่ 9มิถุนายน 2489 ซึ่งย้ำว่าการขึ้นครองราชย์ ของพระองค์ท่านนั้น เป็นสิ่งที่พระองค์ท่านไม่อยากจะทำ ไม่อยากจะขึ้นครองราชย์ เพราะว่า พระองค์ท่านจะต้องสูญเสีย พระเชษฐาธิราช หรือพี่ชายไป ไม่มีใครอยากจะขึ้นครองราชย์ และก็ได้เล่าให้ท่านผู้ชมได้ชมว่า ท่านได้มีพระราชนิพนธ์เอาไว้ในบันทักส่วนพระองค์ บอกว่า “ไม่เคยคิดที่จะเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินเลย คิดแต่จะเป็นน้องของพี่เท่านั้น”

แน่นอนครับพี่น้องรักใคร่ผูกพันธ์กัน ซึ่งตนก็บอกทำไมพี่น้องรักใคร่ผูกพันธ์ ในความเป็นจริงมีคนที่สร้างข่าวสาร ทำลายสถาบันฯในเรื่องนี้มาโดยตลอด ย้ำว่าพี่น้องมีความรักไครืผูกพันธ์กัน ทำไม?? ก็ได้พูดให้ฟัง ไม่รู้จะพูดอย่างไร ในการสื่อให้ท่านผู้ชมได้เข้าใจ ความรู้สึก ตนก็สื่อสาร “คิดดูสิครับ พระองค์ท่านเป็นลูกกำพร้า มีแม่เลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงในฐานะสามัญชน ทั้งๆที่พระองค์ท่านเป็นพระ บรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงในขณะนั้น”  ยังไม่มีสถานะในการสืบราชสมบัติในขณะนั้น แต่อยู่ในลำดับของการสืบสันติวงศ์ พี่น้องอยู่ด้วยกันมาด้วยความรัก ความผูกพันธ์ เป็นความลึกซึ้งของลูกกำพร้า เป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างธรรมดา

และเมื่อขึ้นครองราชย์นั้น ก็ยังเป็นเพียงเด็กวัยรุ่น อายุ18ปีเศษ ..นี่แหล่ะ กสทช. บอกว่าตนไม่ทำอันสอดคล้องกับจริยธรรม ของกสทช. ไม่เป็นไรเลือกสั่งปิดรายการตน เรียนท่านผู้ฟัง ทุกท่านทราบดี ชีวิตตนเป็นคนกล้าประกาศ ว่าเป้าหมายของชีวิต ตนไม่อยากมาเวียนว่ายตายเกิดีกแล้ว ธุรกิจในวันนี้ ตนขายหมด ช่วยทำงานอยู่ที่สปริง ก็ช่วยด้วยหัวใจ อยากเห็นสื่อที่ดีๆ

 

ทำไมต้องพูดแบบนี้ ตนไม่แคร์ที่กสทช.สั่งระงับรายการ แต่ตรงท่อนล่างที่บอกว่า “ส่งเรื่องให้ตำรวจเพื่อพิจารณาดำเนินคดี” จะดำเนินคดีตนด้วยมาตร112 ตนยินดี แต่เตรียมตัวไว้เหมือนกัน ว่าคนที่พิจารณาเรื่องตนก็ต้องสู้กันในศาล ตนไม่ได้สู้ในฐานะจำเลยเพียงอย่างเดียว แต่จะสู้ในฐานะโจทก์ ไม่ใช่เพื่อตอบสนองอารมณ์ตัวเอง ไม่ได้มีการโกรธเคือง แต่จะให้เห็นว่า “ความบ้องตื้น หรือความคิดอันตื้นเขิน” ในการพิจารณาเรื่องนี้มันกระทบกระเทือนและเสียงหายต่อประเทศชาติ และผู้คนที่จงรักภักดีทั้งสิน บอกตนไปขยายผ่านสื่อ คุณคิดหรือไม่ว่าสื่อวันนี้ ที่คุณคุมไม่ได้ โลกของFacebook ที่มีคน โพสต์แสดงความจงรักภักดี และใช้ภาษา”สามัญชน” คุณไม่ต้องไปดำเนินคดีเขาหมดหรือ  โพสต์ไปด้วยความรักหรือไม่? ชีวิตตน กับกรรมการกสทช.

 

กลับมาทบทวนกันเลย ว่าใครมีความจงรักภักดี และรักประเทศชาติมากกว่ากัน กล้าพูด กล้ารับ ไม่เคยโวยวาย ไปเคลื่อนไหวในกิจกรรมการเมือง เพราะคำขอร้องของผู้คน ถูกดำเนินคดีกบฏ ไปศาลมาทุกครั้ง ไม่เคยโพสต์ ไม่เคยแสดงความอวดเก่ง ไม่เคยมาร้องขอความเห็นใจ ไม่เคยบอก ไม่เคยโวยวาย ลูกถามติดคุกเป็นอย่างไร ติดคุกก็เป็นกรรม ไม่มีปัยจัยแห่งผลใด  ที่ไม่ได้มาจากปัยจัยเหตุ ที่เราได้กระทำไว้ ไม่ชาตินี้ก็ชาติที่แล้วมา ไม่ได้พูดกับลูกเฉยๆ ใจตั้งรับกับสิ่งเหล่านี้ แต่สิ่งที่ กสทช ทำอยู่ขณะนี้ มันทำลายชาติบ้านเมือง และใครกันแน่ที่ทำร้ายสถาบันฯ ใครกันแน่ที่จะทำให้คนที่จ้องโคดล้มสถาบันฯ เอากรณีของตน ไปขยายความว่าเป็นการใช้ มาตรา112 เพื่อทำลายเขา ไปเรียงรายชื่อคณะกรรมการกสทช. ทุกคนมา กับสนธิญาณ เพราะฉะนั้นพูดในวันนี้แรงกว่าในโทรทัศน์

 

ซึ่งตนก็ต้องลาท่านผู้ชม ผู้ฟังในวันนี้ เพราะถ้าสั่งหยุดในโทรทัศน์ ก็ต้องสั่งหยุดในวิทยุ แต่ตนไม่ได้กลัวอยู่แล้ว ทีมงานทราบดี เพราะไม่อยากจัดมาแล้วตั้งแต่ต้น เหตุผลเพราะตนไม่อยากจะจัดและไปกระทบอารมณ์ความรู้สึกใคร ซึ่งทำให้ผู้ที่ได้รับเรื่องของตนก็ขุ่นมัว หลายท่านก็บอกทำเพื่อประเทศชาติ ซึ่งก็ตั้งใจจะทำ เพราะประเทศชาตินี้มีความสำคัญกับพระพุทธศาสนา แต่เมื่อเบื่อกับการเวียนเกิดเวียนตาย ตนก้ขอหยุดทั้งโทรทัศน์และวิทยุ นั่นก็ดี แต่เรื่องดำเนินคดี ก็ดีอีก แต่ตนอยากหยิบเรื่องดีมาให้ดูว่า เนี่ยแหล่ะ สติปัญญาของกสทช. คือสิ่งที่ทำในการบริหาร ไม่นับนโยบายไม่ได้เรื่อง ออกทีวีดิจิตอลมา วินาศสันตะโรเพราะไม่เข้าใจความจริงของธุรกิจสื่อ  เดือดร้อนกันทั่วประเทศ เสียหาย ผู้ดำเนินธุรกิจทีวีดิจิตอล ต้องวิ่งไปขอพล.อ.ประยุทธ์ให้ออกมาตรา44 มา เพื่อแก้ไขปัญหากับ สติปัญญาของคนชุดนี้ ขออนุญาตกราบลาทุกท่าน