อดีตที่ผ่านมายืนยันไม่พอหรือไร?!! สะกิด "กสทช." ปมปิด"รายการสนธิญาณ" อย่าละเลยข้อเท็จจริง-อย่าตื้นเขินจนมองไม่เห็นเจตนารมณ์ที่ดี

ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th

 

อดีตที่ผ่านมายืนยันไม่พอหรือไร?!! สะกิด "กสทช." ปมปิด"รายการสนธิญาณ" อย่าละเลยข้อเท็จจริง-ไม่ดูเจตนาบ้างหรือ และจะว่าไปก็แทบไม่ต่างอะไรกับที่ อดีตผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมท่านหนึ่ง เคยถูกฟ้อง มาตรา 112 หลังนำเอาคำปราศรัยของ "ดา ตอปิโด" ที่หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายฯ มาพูดซ้ำ ทั้งที่พูดเพื่อกระตุ้นให้ตำรวจเร่งดำเนินคดีนี้ สุดท้าย...ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง...โดยระบุชัดว่า...อดีตผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมท่านนั้น...ไม่มีเจตนาที่จะหมิ่นเบื้องสูง...ใช่อ่านไม่ผิด....เรากำลังบอกว่า ที่ศาลฯ ยกฟ้อง เพราะวินิจฉัยว่า อดีตผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมท่านนั้น...ไม่มีเจตนาที่จะหมิ่นเบื้องสูง...ศาลเองยังพุ่งคำวินิจฉัยไปที่...เจตนา

 

เป็นประเด็นขึ้นมาทันที หลังนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กสทช. เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2560 มีมติให้บริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด หรือช่องสปริงนิวส์ ระงับการออกอากาศ รายการ “สนธิญาณฟันธงตรงประเด็น” เป็นระยะเวลา 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง ซึ่งเป็นการใช้อำนาจตามข้อ 19 ของประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555

โดยสิ่งที่ เลขาฯ กสทช. กล่าวอ้างต่อกรณีรายการ “สนธิญาณฟันธงตรงประเด็น” นี้ก็คือ "เนื่องจากพบว่า การออกอากาศรายการสนธิญาณฟังธงตรงประเด็น เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2560 มีเนื้อหาซึ่งนำเสนอเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยใช้คำพูดในลักษณะที่ไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมของสื่อ เป็นการขัดต่อ ข้อ 14(10) ของประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. 2555 และเห็นสมควรส่งเรื่องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” เลขาฯ กสทช. ระบุ

 

อย่างไรก็ดี ข้อกล่าวอ้างแบบไม่ดูที่เจตนา และพื้นเพ ความคิดความอ่านของนายสนธิญาณ ของเลขาฯ กสทช. ที่อ้างว่าเขา "นำเสนอเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยใช้คำพูดในลักษณะที่ไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมของสื่อฯ"  ก็ดูจะขัดแย้งกับความจริงเชิงประจักษ์อย่างสิ้นเชิง เพราะที่ผ่านมานายสนธิญาณก็พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า เป็นบุคคลที่ประกาศตัวชัดเจนในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทั่งก่อตั้ง "เครือข่ายเฝ้าระวัง พิทักษ์และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์" ในห้วงยามที่บ้านเมืองเกิดกลุ่มที่คิดล้มล้างสถาบันฯ ขึ้นอย่างมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งยังเปิดโปงขบวนการล้มล้างสถาบันฯ ดังกล่าว ผ่านช่องทางการนำเสนอโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม และช่องทางอื่น ๆ ที่ตนเองเป็นผู้บริหารอยู่ และแจ้งความเอาผิดผู้กระทำการหมิ่นฯ นั้นไปก็หลายกรณี และเรื่องนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ของทุกฝ่าย...แม้แต่ฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐเอง ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ก็ทราบดี


ดังนั้น การกล่าวอ้างของ เลขาฯ กสทช. ต่อกรณีนี้จึงคล้ายผู้ละเลยข้อเท็จจริง และไม่มองปูมหลัง วิธีคิด และเจตนาของผู้จัดรายการ...ซึ่งในกรณีนี้ก็คือนายสนธิญาณอย่างยากจะปฎิเสธ และจะว่าไปก็แทบไม่ต่างอะไรกับที่ครั้งหนึ่ง อดีตผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่ฟาดฟันกับขบวนการล้มเจ้าท่านหนึ่ง (ขออภัยที่ต้องสงวนนาม) พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 8 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลังผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมท่านนั้น นำเอาคำปราศรัยของ "น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล" หรือ "ดา ตอปิโด" ที่พูดบนเวทีปราศรัยที่ท้องท้องสนามหลวง อันเป็นการพูดที่มีถ้อยคำหมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์มาพูดซ้ำ เพื่อกระตุ้นให้ตำรวจเร่งดำเนินคดีกับ "ดา ตอปิโด" กรณีนี้

สุดท้าย...หลังสู้ความอยู่หลายปี ศาลฎีกพิพากษายกฟ้องผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมคนดังกล่าว...โดยศาลระบุชัดว่า...บุคคลผู้นี้ไม่มีเจตนาที่จะหมิ่นเบื้องสูง


ใช่...อ่านไม่ผิด "ศาลระบุชัดว่า...บุคคลผู้นี้ไม่มีเจตนาที่จะหมิ่นเบื้องสูง" ...นั่นเอง เป็นเหตุให้เราต้องตั้งคำถามว่า เหตุใดคำกล่าวอ้างของ เลขาฯ กสทช. ต่อกรณีนี้จึงไม่มองที่เจตนา ซึ่งถือเป็นหลักใหญ่ในการพิจารณาความผิด ไม่มองปูมหลัง วิธีคิด และความจริงเชิงประจักษ์ที่สังคมรับรู้กันดี...ในกรณีนี้...ทำไม??!!