แปลกแต่จริง?! "คดีกรุงไทย" นายแบงค์เข้าซังเตจนเกลี้ยง-เหลือแต่"ลูกชายนายใหญ่" ที่อภินิหาริย์บางอย่าง-บันดาลให้อยู่รอด จนจะขาดอายุความรอมร่อ?

ติดตามข่าวสารที่ www.tnews.co.th

แปลกแต่จริง?! "คดีกรุงไทย" นายแบงค์เข้าซังเตจนเกลี้ยง-เหลือแต่"ลูกชายนายใหญ่" ที่อภินิหาริย์บางอย่าง-บันดาลให้อยู่รอด จนจะขาดอายุความรอมร่อ?

 

นับว่ากลับมาอยู่ในความสนใจของคอการเมืองทันที หลังอธิบดี DSI ออกมาเปิดเผยวานนี้ว่า ทาง DSI  ได้รับหนังสือชี้แจงคดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทย จากทนายความของ "นายพานทองแท้ ชินวัตร" ผู้ถูกกล่าวหาจากคดีดังกล่าว ก่อนจะถึงเส้นตายกลางเดือนนี้แล้ว โดยเอกสารอ้างคำเดิมว่า ตนเองไม่ผิด แถมร้องขอให้สอบพยานเพิ่มในอีกหลายประเด็น...ย้ำ...ขอให้สอบเพิ่มในหลาย ๆ ประเด็น นั่นเองทำให้หลายฝ่ายมองไปในทิศทางเดียวกันว่า...ใช่หรือไม่ว่า...เรื่องนี้ตีความยังไงก็ไม่พ้นความต้องการ...ยื้อเวลาออกไปให้นานที่สุดของลูกชายนายใหญ่...เพราะต่างทราบกันดีว่า...คดีนี้จะขาดอายุความกลางปีหน้า คือ ปี 2561 และก่อนหน้านี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า...มีความพยายามยื้อยุดฉุดกระชาก และใช้อภินิหาริย์บางอย่างในทางการเมืองที่ "ระบอบทักษิณ" มีอยู่อย่างแน่นหนาในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อเตะถ่วงคดีออกไป กระทั่งข้อหา "รับของโจร" จากคดีเดียวกันนี้...ขาดอายุความไปแล้วก่อนหน้านี้  แล้ว "คดีฟอกเงิน"  ที่จวนเจียนจะขาดอายุความอยู่รอมร่อล่ะ...จะซ้ำรอยเดิมหรือไม่??!

 

แม้วานนี้ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะย้ำว่า ขณะนี้คณะพนักงานสอบสวน กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาคำร้องของ นายพานทองแท้ ดังกล่าว แต่ก็ยืนยันว่า หากการสอบสวนคดีนี้ ในสำนวนการสอบสวนทาง DSI ทำไว้ครบถ้วนรัดกุมแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องสอบสวนซ้ำ...ตามที่นายพานทองแท้ร้องขออีก...นั่นยิ่งทำให้ก้าวย่างของทั้ง 2 ฝ่ายในทางคดีน่าจับตาอย่างยิ่ง


...เพราะผู้สังเกตการณ์หลายท่านยืนยันตรงกันว่า...คดีนี้...พานทองแท้...อยู่ในข่ายหลังพิงฝา และอาจหนักกว่าทุกครั้ง...เพราะอำนาจทางการเมืองที่มีอยู่อย่างแน่นหนาของ "ระบอบทักษิณ" ถูกทลายลงไปมากแล้ว...จริงไม่จริง...ดูได้จากการโพสต์ช่วงหลัง ๆ ของนายพานทองแท้เอง...ที่มักโอดครวญทำนอง...ถูกการเมืองรังแก...อะไรทำนองนั้น

 

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงคดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทย  หากเป็นผู้ติดตามการเมือง จะรู้ว่าคดีนี้ผู้เกี่ยวข้องหลายราย โดยเฉพาะอดีตผู้บริหารแบงค์กรุงไทยนั้น พาเหรดกันเข้าไปนอนในคุกนับสิบ ๆ ปีกันเกือบหมดแล้ว เหลือแต่กลุ่มก้อนของนายพานทองแท้ และพวกนี่แหล่ะที่คดียังอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน DSI


โดยคดีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก รวม 27 คน เป็นจำเลย กรณีอนุมัติให้ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้บริษัทในกลุ่มของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) รวมเป็นเงินกว่า 9.9 พันล้านบาท โดยมิชอบ เป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย ในคดีหมายเลขดำที่ อม.3/2555 ไปเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2558 หรือเมื่อกว่า 2 ปีที่ผ่านมา

โดยศาลสั่งจำคุก ร.ท. สุชาย เชาว์วิศิษฐ์ (จำเลยที่ 2) นายวิโรจน์ นวลแข (จำเลยที่ 3) นายมัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา (จำเลยที่ 4) อดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทยคนละ 18 ปี ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อ ธนาคารกรุงไทย ระดับหัวหน้ากลุ่ม มีความผิด ให้ลงโทษจำคุกคนละ 12 ปี ขณะที่สั่งจำหน่ายคดีในส่วนของ พ.ต.ท. ทักษิณ จำเลยที่ 1 ไว้ชั่วคราว หลังหลบหนีไม่มาศาลตั้งแต่การพิจารณาคดีครั้งแรก พร้อมกับออกหมายจับเพื่อนำตัวมาเข้าสู่กระบวนการ

อย่างไรก็ตาม แม้ใน 27 รายชื่อดังกล่าว จะยังไม่มีรายชื่อของนายพานทองแท้ที่ไปเกี่ยวข้องกับคดี แต่ทว่าในรายงานการสอบสวนของ “ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ซึ่งเกิดขึ้นหลังเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยพล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน ซึ่งส่งให้ ป.ป.ช. ไต่สวนต่อนั้น (คือ คตส.หมดหน้าที่ และหน่วยงานที่ทำคดีต่อ คือ ป.ป.ช.)  ในสำนวนของ คตส. มีผู้กระทำความผิดเพิ่มมาอีก 4 คน เป็น 31 คน  

เรื่องนี้กรรมการ คตส. บางท่าน เคยระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การดำเนินการปล่อยกู้มีการดำเนินการเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การอนุมัติสินเชื่อโดยเร่งด่วน มีเงินที่นำไปให้พวกพ้อง มีการ "โอนเงินให้ "ลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่" ที่เป็นผู้สั่งการให้อนุมัติสินเชื่อ จากนั้นก็โอนเงินให้บิดาของอดีต ส.ส.ลูกพรรค และโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของบิดา, เลขาฯ ส่วนตัว ของภรรยาหัวหน้าพรรค เป็นเหตุให้ธนาคารกรุงไทยเสียหาย 4.5 พันล้านบาท" กรรมการ คตส. ท่านหนึ่ง ให้เบาะแส ซึ่งเกิดจากการตรวจพบเส้นทางการเงินที่โยงใยถึง  "ลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่" ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน

 

และจากแฟ้มสำนวนคดีแบงก์กรุงไทยฯ ของ คตส. ก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า มติของคณะกรรมการตรวจสอบฯ ซึ่งพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 28/2551 เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 ได้มีมติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนายพานทองแท้ ว่า “ส่วนผู้ที่ได้รับเงินจากการกระทำความผิด คตส. เห็นว่า ให้ดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 ฐานรับของโจร เป็นจำนวน 4 ราย แม้บุคคลเหล่านั้นไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับบุคคล 27 รายข้างต้น แต่ได้รับเงินที่ได้จากการกระทำความผิดฐานยักยอก และช่วยปิดบังซ่อนเร้นอันทำให้ยากต่อการติดตาม และบุคคลทั้งสี่นี้ให้แยกสำนวนไปดำเนินคดีในศาลอาญาต่อไป”

 

แต่อย่างที่กล่าวไว้แต่ต้น คดีนี้เมื่ออัยการสูงสุด ตัดสินใจเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 13 มิ.ย 2555 หรือเมื่อกว่า 5 ปีก่อน โดยมี นายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 นอกนั้นก็มี กรรมการบริหาร, กรรมการสินเชื่อ, เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารกรุงไทย และกลุ่มบริษัทเอกชน รวม 27 รายเป็นจำเลยร่วมดังกล่าว กลับพบว่ามีถึง 4 คน ที่เคยถูก คตส. กล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้อย่างชัดเจน กลับหลุดคดี คือ อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง และ 1 ในคนที่ได้ประโยชน์นั้น ได้แก่ "นายพานทองแท้ ชินวัตร" ที่หวนกลับมามีชื่อในสำนวนอีกครั้งหลัง DSI ริ้อฟื้นคดีล่าสุด

 
ส่วนกรณีที่ชื่อของ นายพานทองแท้ หล่นหายไป ที่ผ่านมาทางอัยการสูงสุดในยุคนั้น กลับไม่ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้แก่สังคมมากนัก มีอภินิหาริ์อะไรในเรื่องนี้หรือไม่ และปล่อยให้คาใจคนไทยที่รักความถูกต้องมาจนวันนี้ (เหมือนกับที่ถอนฟ้องคดีธรรมกาย ที่เหลือการสอบพยานอีกแค่ 2 ปากไม่มีผิด)

วันนี้...ดูเหมือน "คดีฟอกเงินกรุงไทย" ที่มี "ลูกชายนายใหญ่" เข้าไปเอี่ยวจะเดินทางมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว...และดูเหมือนต่างฝ่ายต่างมั่นใจในหลักฐานของตนเอง...ที่จะเอาชนะคดีนี้ได้  กล่าวคือ ทาง DSI เองก็มั่นใจในพยานหลักฐานว่า สามารถเอาผิดนายพานทองแท้ และส่งฟ้องได้ก่อนหมดอายุความกลางปี 2561 ได้แน่ แต่ทางนายพานทองแท้เอง ก็มั่นใจในพยานหลักฐานของตัวเองเช่นกัน โดยยืนยันหลักแน่นถึงความบริสุทธิ์ของตนเอง และอ้างว่าไม่มีเจตนาซุกซ่อนอำพรางทรัพย์สินตามที่ DSI กล่าวหา ทั้งพร้อมจะต่อสู้คดีนี้อย่างถึงที่สุด (ซึ่งคาดว่าเขาคงสู้คดีในประเด็นนี้ คือประเด็นไม่มีเจตนาซุกซ่อนอำพรางทรัพย์สินตามที่ DSI กล่าวหา ตามที่ได้เคยส่งทนาย เปรย ๆ เรื่องนี้มาแล้ว)

 

ทั้งหลายทั้งปวงนั่น ยิ่งทำให้คอการเมืองจับจ้องคดีนี้แบบตาไม่กะพริบตา...เหนืออื่นใดก็คือ หลายคนอยากรู้เสียทีว่า คดีที่ถูกแช่แข็ง และใช้อภินิหาริย์ทางการเมืองยื้อยุดฉุดกระชากมานานนับ 10 ปี จนคดีจะหมดอายุความอยู่รอมร่อในกลางปีหน้า ขณะที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายพากันเข้าซังเตไปเกือบหมดแล้วนั้น...สุดท้ายจะลงเอยเช่นไร 


คดีจะถูกนำขึ้นสู่ศาลหรือไม่ และลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนายใหญ่...จะมีชะตากรรมเหมือน...พ่อและอาสาว...ที่ต้องระเห็จออกนอกประเทศหรือไม่-อย่างไร...ทั้งหมดนั้นล้วนที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนทั้งสิ้น