- 07 ม.ค. 2561
2 พรรคใหญ่จับมือกัน “ทางรอดประชาธิปไตยหรือแค่ใฝ่ฝันในอำนาจ?” โดย"สุริยะใส กตะศิลา" หนีไม่พ้นวงจรอุบาทว์ สุดท้ายก็แต่เกมชิงอำนาจ??
ทิศทางการเมืองร้อนภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีหลังจากที่ได้ออกยอมรับแบบไม่เหนียมแล้วว่าเป็น “นักการเมือง” ..
“ผมเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร และอีกหน่อยก็จะเป็นประชาชน ผมไม่เคยคิดจะเป็นนักการเมืองสักวัน แต่ที่ต้องเป็น เพราะด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบที่เข้ามาทำงานให้กับประเทศ”
สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป ..โดยเฉพาะพรรคใหญ่ เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์ ร้อนรนออกมาเสนอแนวทางออก ล่าสุด นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมายืนยันให้สองพรรคใหญ่ เพื่อไทยจะจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์เพื่อต้านนายกฯคนนอก
โดยนายพิชัย กล่าวว่า“จึงไม่มีทางอื่นที่พรรคการเมืองจะต่อสู้ได้ พรรคใหญ่ต้องหันหน้ามาจับมือกัน แม้จะเป็นได้ยากมีบาดแผลต่อกัน แต่ต้องทำ ถ้าไม่ทำจะไม่มีทางชนะจัดตั้งรัฐบาลได้ ปชป.กับพรรคเพื่อไทย(พท.) ต้องทำเพื่อสู้ให้ได้ประชาธิปไตยกลับคืนมา เพราะถ้าสู้ในกติกานี้แล้วไม่ร่วมมือกัน อย่างไรก็ไม่มีทางชนะ”
แต่อย่างไรก็ตามทั้ง 2 พรรค มีอุดมการณ์จุดยืนและแนวทางการเมืองของทั้งสองพรรคต่างกันอย่าง สิ้นเชิง ซึ่งหากจับมือฮั้วกัน ตามนายพิชัย กล่าวไว้ อาจจะทำให้สูญเสียฐานคะแนนเสียงเพราะไม่สามารถตอบประชาชนที่สนับสนุนตัวเองได้ ฉะนั้นต้องติดตามต่อไปว่า ข้อเสนอดังกล่าวของนายพิชัยจะเป็นจริงได้หรือไม่
ขณะที่ "สุริยะใส กตะศิลา" มองข้อเสนอ 2 พรรคใหญ่จับมือกัน ไว้อย่างน่าสนใจ ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว โดยระบุว่า..
2 พรรคใหญ่จับมือกัน
“ทางรอดประชาธิปไตยหรือแค่ใฝ่ฝันในอำนาจ?”
นาทีนี้มีการวิเคราะห์กันว่ามีความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์จะจับมือกันตั้งรัฐบาลกระทั่งมีข้อเสนอให้ 2 พรรคจับมือกันต้านรัฐบาลทหาร
บางคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ บางรายบอกว่าแค่โจ๊กการเมือง ปิดประตูเกิดขึ้นยาก แต่ก็มีบ้างที่บอกว่าการเมืองไทยไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร อย่ามองข้ามเด็ดขาด
เอาหละ!
ถ้าสูตรนี้เป็นไปไม่ได้ ก็จบ แต่ถ้าเป็นไปได้ร่วมรวมกันตั้งรัฐบาลหรือจับมือเป็นฝ่ายค้านกันได้หละ
ก็มีคำถามตามมา หลังจากโค่นทหารเสร็จแล้ว 2 พรรคจะทำอะไรกันต่อ เป็นพันธมิตรกันทางการเมือง สถาปนาตัวเองเป็นพรรคเทพ อย่างนั้นหรือ?
หรือปัญหาการเมืองไทยเป็นเรื่องแคบๆแค่พรรคการเมืองทะเลาะกัน ดังนั้นพรรคคู่ขัดแย้งคุยกันได้ก็จบ ใช่แค่นั้นหรือ?
หรือปัญหาการเมืองไทยเป็นเรื่องแคบๆแค่พรรคการเมืองทะเลาะกัน ดังนั้นพรรคคู่ขัดแย้งคุยกันได้ก็จบ ใช่แค่นั้นหรือ?
วิกฤติการเมืองที่ล้มเหลวที่ผ่านมา 2 พรรคมีส่วนไม่มากก็น้อย คำถามคือ 2 พรรคได้สรุปบทเรียนหรือพร้อมเข้าโหมดปฏิรูปกันแล้วหรือยัง
ด้วยเหตุดังนั้นสูตร 2 พรรคใหญ่รวมกันต้านรัฐบาลทหารก็หนีไม่พ้นวงจรอุบาทว์ หนีเสือปะจระเข้ ตราบใดเรายังไม่ลงมือปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง สุดท้ายก็แต่เกมชิงอำนาจ ชิงผลประโยชน์กันไปมาเหมือนที่ผ่านๆ มาเท่านั้น
ไหนๆ ก็ไหนๆ ลองดูมั้ย ถ้า 2 พรรคใหญ่ จับมือกันทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์หรือสัญญาว่าจะร่วมกันปฏิรูปประเทศโดยมีวาระ มีประเด็นร่วมกันเป็นรูปธรรม
ทำได้แค่นี้การเมืองไทยก็มีความหวังขึ้นมาทันทีครับ.