นักสู้เพื่อผดุงความยุติธรรม หรือจอมแหกตามวลชนคนเสื้อแดง !!! ข้อเท็จ ที่นายณัฐวุฒิไม่เคย แม้จะปริปากบอก สลายชุมนุมปี53

นักสู้เพื่อผดุงความยุติธรรม หรือจอมแหกตามวลชนคนเสื้อแดง !!! ข้อเท็จ ที่นายณัฐวุฒิไม่เคย แม้จะปริปากบอก สลายชุมนุมปี53

หลังการแถลงข่าวความคืบหน้าการตรวจสอบคดีของป.ป.ช. เมื่อหลายวันก่อน แต่ไม่ปรากฏ หรือมีการพูดถึงคดีสลายการชุมนุมกลุ่มนปช.เมื่อปี 2553อีกรอบ  มาวันนี้ ซึ่งดูเหมือนจะถูกหยิบยกมาเล่น เกมการเมืองอย่างไม่รู้จบ ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยผ่านการขับเคลื่อนจากนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.  

ซึ่งเมื่อวันที่12 ม.คงที่ผ่านมา นายณัฐวุฒิ ก็ได้เดินทางมายัง สำนักาน ป.ป.ช.พร้อมด้วยทีมทนายความและญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 และกล่าวตอนหนึ่งว่า

“ หวังว่าการทำงานของปปช.จะมีความรวดเร็ว ถ้า9ปปช.ที่นั่งอยู่เป็นตัวจริงไม่ใช่สแตนดี้ก็คงทำงานได้อย่างรวดเร็ว แต่หากเป็นสแตนดี้ก็คงนั่งเพิกเฉย
 
ผมคุยกับ ผอ.เสร็จแล้วก็จะกลับทันทีไม่มีกิจกรรมอะไรต่อ แต่ถ้ายังไม่ได้รับความยุติธรรม ก็ต้องมาดำเนินการต่อ จนกว่าจะได้รับความยุติธรรม ซึ่งผอ.บอกว่าจะยื่นเรื่องให้ปปช.สัปดาห์หน้า ตนเห็นว่าไม่ควรใช้เวลาเนิ่นนาน ผมเชื่อว่ามนุษย์ต้องการความยุติธรรม หากปฏิเสธความยุติธรรม ก็เท่ากับปฏิเสธความเป็นมนุษย์ พวกผมต้องการความยุติธรรม ฉะนั้นวันนี้จึงมายืนยันว่ายังมีความเป็นมนุษย์อยู่”

แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ป.ป.ช.เพิกเฉย จริงหรือไม่ ?? 

ในเรื่องดังกล่าวเคยมีผู้ยื่นเรื่องให้กับทาง ป.ป.ช.พิจารณาแล้ว และได้มีมติ “ยกฟ้อง” !!!

ย้อนไปเเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ส่งเอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ อ้างคำพูดของนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่เปิดเผยมติที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีคำร้องขอให้ถอดถอนและคำกล่าวหา
– นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
– นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
– พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก

 

 

ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สั่งใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

โดยเรื่องนี้จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขณะเกิดเหตุที่มีการสั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธปืนติดตัว เข้าขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ในระหว่างวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บนั้น อยู่ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลว่าการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ ศอฉ. ต้องใช้มาตรการขอพื้นที่คืน เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง โดยมีคำสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัว หากมีความจำเป็นสามารถนำมาใช้เพื่อระงับยับยั้งได้ไปตามสถานการณ์ หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า หรือป้องกันตนเองได้ อันเป็นไปตามหลักสากล ตามนัยคำพิพากษาศาลแพ่ง ในคดีหมายเลขดำที่ 1433/2553

อย่างไรก็ตาม แม้คำสั่งที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัวเพื่อป้องกันตนเองได้จะเป็นไปตามหลักสากลก็ตาม แต่ก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการใช้อาวุธปืนตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นตามความจำเป็น และพอสมควรแก่เหตุ อันเป็นภาระที่หนักและยากอย่างยิ่งในการปฏิบัติ แต่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบดังกล่าวได้ หากภายหลังสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้อาวุธปืนโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีจำเป็น จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ อันเป็น “ความรับผิดเฉพาะตัว” เช่นเดียวกับนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่จะต้องรับผิดในกรณีที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า รู้ว่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตนได้ใช้หรืออยู่ระหว่างใช้กำลังบังคับและอาวุธปืนโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วไม่ดำเนินการยับยั้ง ป้องกัน และรายงานเหตุดังกล่าว ซึ่งคดีการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อปี 2553 ในเหตุการณ์เดียวกันนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้รับดำเนินการเป็นคดีพิเศษด้วย จึงมีมติให้ส่งเรื่องการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ทหารที่เป็นผู้กระทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว รวมถึงนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ ซึ่งมิใช่บุคคลตามมาตรา 66 ให้ DSI ดำเนินการต่อไป ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 89/2

 

 

สำหรับประเด็นการกล่าวหานายอภิสิทธิ์, นายสุเทพ และ พล.อ. อนุพงษ์ กับพวก กรณีละเว้นไม่สั่งระงับยับยั้ง ทบทวนวิธีการ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้กำลังทหารนั้น จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์การขอคืนพื้นที่ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บแล้ว ศอฉ.ได้ทบทวนปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยไม่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าผลักดันผู้ชุมนุมอีกต่อไป แต่ใช้มาตรการตั้งด่านตรวจ หรือจุดสกัดปิดล้อมวงนอกไว้โดยรอบ เพื่อให้ ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปเอง โดยการปฏิบัติในวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 เป็นการตั้งด่านอยู่กับที่ทุกแห่ง แต่ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนกำลังเข้าไปควบคุมพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี โดยไม่ได้มีการผลักดันต่อผู้ชุมนุมที่แยกราชประสงค์โดยตรง แต่เป็นการกดดันต่อกองกำลังติดอาวุธที่ยึดสวนลุมพินีอยู่ ซึ่งการปฏิบัติในการกระชับพื้นที่สวนลุมพินี ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยประกาศให้ผู้ชุมนุมออกไปจากพื้นที่ก่อน หลังจากประกาศแล้ว เจ้าหน้าที่จึงเข้าไป

 

“ดังนั้น ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวน ยังรับฟังไม่ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม กับพวก ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการ ในเรื่องดังกล่าว โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่น โดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไปเช่นกัน”นี่เป็นข้อเท็จ ที่นายณัฐวุฒิไม่เคย แม้จะปริปากบอกกล่าว หรืออธิบายให้พี่น้องเสื้อแดงได้เข้าใจ เพียงแต่จ้องจะใช้ศพสร้างปมความแค้น  รอยร้าวความแตกแยก เป็นเครื่องมือ..“หากินทางการเมือง” เสมอมา โดยความพยายามในวันนี้ ลงทุนถึงขนาดสร้างบทบาท นักสู้เพื่อผดุงความยุติธรรม หรือจอมแหกตามวลชนคนเสื้อแดง !!!

 

นี่เป็นข้อเท็จ ที่นายณัฐวุฒิไม่เคย แม้จะปริปากบอกกล่าว หรืออธิบายให้พี่น้องเสื้อแดงได้เข้าใจ เพียงแต่จ้องจะใช้ศพสร้างปมความแค้น  รอยร้าวความแตกแยก เป็นเครื่องมือ..“หากินทางการเมือง” เสมอมา โดยความพยายามในวันนี้ ลงทุนถึงขนาดสร้างบทบาท นักสู้เพื่อผดุงความยุติธรรม หรือจอมแหกตามวลชนคนเสื้อแดง !!!