"บิ๊กป้อม"พร้อมลาออก!!หากประชาชนไม่ต้องการ..พลิกประวัติ "ดี-ไม่ดี"ถามใจประชาชน ให้เป็นผู้ตัดสินดีกว่า??!!

คุกรุ่นมาอย่างต่อเนื่องสำหรับกระแสแยกพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ออกจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  และถูกโหมด้วยข้อครหา ปม”นาฬิกาหรู” ทำให้ที่ผ่านมาหลายคนแสดงความคิดเห็นว่าเรื่องนี้จะกระทบกับภาพลักษณ์ของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี และกดดันให้พล.อ.ประวิตร ต้องพิจารณาตัวเอง ซึ่งก่อนพล.อ.ประวิตรย้ำว่า...

 

หากพบว่าตนเองกระทำผิดก็พร้อมลาออก ยืนยันไม่มีอำนาจที่จะไปแทรกแซง ป.ป.ช. ระบุว่า..

 

"ไม่เป็นไรนะ ให้ ... เขาสอบกันก่อน ถ้าผลสอบชี้ผมผิด ผมก็ออก" 

แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้กระแสกดดันให้พล.อ.ประวิตร พ้นตำแหน่งในครม. ลดลงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม กับเพิ่มความรุนแรงให้มากขึ้น จนล่าสุดพล.อ.ประวิตร ออกมาตัดพ้อ พร้อมลาออกจากตำแหน่ง อีกครั้งหนึ่ง

 

 ในงานเลี้ยง สานสัมพันธ์ สื่อสายทหาร  พล.อ.ประวิตร ขึ้นพูดบนโพเดียม กล่าวต่อหนึ่งด้วยว่า หากประชาชนไม่ต้องการตนก็พร้อมที่จะไปจากตำแหน่งนี้

 

"อยากจะพูดกับผู้สื่อข่าวสายทหาร กับทุกคน ตนไม่ได้มาขอร้องให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่อยากจะบอกว่าตนรับราชการมาตั้งแต่ปี 2511 ถึงวันนี้ก็ 50 ปีได้ รับราชการมาโดยตลอด ก็ไม่เคยมีเรื่องอะไรต่างๆ ก็ดูเอาแล้วกัน ว่าตนได้ทำอะไรที่เสียหายต่อประเทศชาติบ้านเมืองบ้าง ตนเข้ามาเพื่อต้องการทำงานให้บ้านเมือง ถ้าประชาชนไม่ต้องการตนก็พร้อมที่จะไปจากตำแหน่งนี้"

 

พล.อ.ประวิตร ยอมรับว่ามีแรงเสียดทานจากคนกลุ่มหนึ่ง ว่ารัฐบาลทำงานไม่ตรงตามความต้องการของประชาชน ยืนยันว่ารัฐบาลเราทำงานทุกอย่างเพื่อประชาชนโดยแท้ ทุ่มเทการทำงานตลอดระยะเวลา 3 ปีกว่าที่ผ่านมา เราพยายามจะต่อสู้กับแรงเสียดทาน เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย เราทำตามกฎหมาย ไม่มีนอกลู่นอกทาง

 

ทั้งนี้หากย้อนประวัติพล.อ.ประวิตร กับเส้นทางรับใช้ชาติบ้านเมือง พล.อ.ประวิตร ถือได้ว่าเป็นนายทหารที่เติบโตมาจากกองทัพภาคที่ 1 ทางภาคตะวันออกมาโดยตลอด โดยสังกัดกับกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) หรือที่เรียกกันว่า "ทหารเสือราชินี" ถือได้ว่าเป็นนายทหารรุ่นพี่ที่สนิทสนมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้บัญชาการทหารบก และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน

 เริ่มรับราชการเมื่อปี 2512 เป็นผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ 2 กรมผสมที่ 3
ต่อมาในปี 2519 นายทหารยุทธการและการฝึก กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ฯ
ปี 2524 เป็นผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ฯ
ปี 2532 เป็นผู้บังคับการกรมทหาราบที่ 12 รักษาพระองค์ฯ
ปี 2539 ผู้บัญชาการกองพลทหาราบที่ 2 รักษาพระองค์ฯ
ปี 2540 ได้รับตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 1
ปี 2541 เป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 ปีพ.ศ. 2543 เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพบก
ปี 2542ได้รับตำแหน่งผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายยุทธการ
ปี 2543 ตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1
ปี 2544 ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก
ปี 2545 ผู้บัญชาการทหารบกตำแหน่ง

ในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2550 พล.อ.ประวิตรเป็นกรรมการในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงตามญัตติถอดถอนกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจรัล ดิษฐาอภิชัย

 

สำหรับการพลิกขั้วอำนาจจากระบบทักษิณโดยล้มรัฐบาลสมชาย ให้กลับมาอยู่ในมือของฝ่ายต่อต้านด้วยการจัดตั้งรัฐบาลที่มีมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำนั้น และอย่าลืมว่าเป็นฝีมือใคร?

แน่นอนว่าคือพล.อ. ประวิตร ฝ่ายตรงข้ามรู้ดี !!!!

 

“เนวิน ชิดชอบ “ เพื่อน “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง “ ซึ่งเป็นลูกน้อง พล.ต.อ พัชรวาท วงศ์สุวรรณ คนนามสกุลเดียวกับ พล.อ.ประวิตร คือผู้ทำให้ดิวนั้นสำเร็จ ทำให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เป็นนายกรัฐมนตรี!!!

 

ฐานของฝ่ายต่อต้านทักษิณทั้งในกองทัพและส่วนอื่นๆจึงถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นเครือข่าย!!!


พล.อ.ประวิตร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันาี่20 ธันวาคม พ.ศ. 2551 – 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554ในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ในเหตุการณ์ก่อความไม่สงบของกลุ่ม นปช. เมษายน พ.ศ. 2552 ในวันที่ 12 เมษายน เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวช นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ได้ประกาศใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินที่กระทรวงมหาดไทยในช่วงเวลาเที่ยง พล.อ.ประวิตร ได้รับแต่งตั้ง เป็นที่ปรึกษาผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ประจำกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.)ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 98/2552

 


 หลังการยึดอำนาจการปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พล.อ.ประวิตรได้รับแต่งตั้งเป็นประธานที่ปรึกษา และเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ และได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลงานด้านความมั่นคง จนถึงปัจจุบัน

ตลอดชีวิตการทำงานของพล.อ.ประวิตร ไม่เคยพบความด่างพร้อย ถึงขั้นเป็นคดีความหรือถึงขึ้นโรงขึ้นศาลทั้งในชีวิตข้าราชกาลทหาร ต่อเนื่องจนมาถึง ในฐานะฝ่ายการเมือง

 

แต่อย่างไรเสีย ไม่ว่ากระแสจะพุ่งตรงไปที่พล.อ.ประวิตร สักเท่าไหร่พล.อ.ประวิตรก็ยืนยงอยู่ในตำแหน่งและทั้งความสำคัญและอำนาจก็ยังไม่ เคยลดลงทั้งในรัฐบาลและคสช.!!!