นายกลุงตู่ เล่นใหญ่ !! ผุดไอเดีย เปิดทางให้กองทัพผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ หวังลดงบจัดซื้อ- การนำเข้า

ปัญหาการใช้ งบประมาณในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ละปีมีมูลค่ามหาศาล โดยพบว่าช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา เป็นเงินมากกว่า 7 หมื่นล้านบาท ทั้งเครื่องบินขับไล่ รถถัง รถหุ้มเกราะ เรือตรวจการณ์ เรือดำน้ำ 

ขณะเดียวกัน ยังมีปัญหา เกี่ยวกับค่าดูแล ค่ารักษา ค่าซ่อมแซม ตามมา มีแต่เรื่องเสียเงินทั้งนั้น 

ดังนั้นเพื่อลดงบประมาณในการจัดซื้อ และนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์
ขณะที่กองทัพ ของไทยเองก็มีศักยภาพความพร้อม  นายกลงตู่ จึงผุดไอเดีย ผลักดันให้มี “อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ  “ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหม่
ที่ผลิตยุทโธปกรณ์ ทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ ตั้งแต่ลูกปืน ยัน รถถัง - เรือรบ

ที่ผ่านมา ได้มีการดำเนินการ และมีความคืบหน้า รายงานสภากลาโหม เป็นระยะ 

ล่าสุดการประชุม คณะกรรมการนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือEEC กองทัพได้รายงานให้นายกฯ ทราบถึงความคืบหน้าของการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยนายกฯ ย้ำเรื่องการพัฒนาชิ้นส่วนใช้เอง จะได้ทยอยลดการนำเข้า ขั้นต่อไปค่อยผลิตยุทโธปกรณ์ แม้ว่าปัจจุบันจะมีบริษัทเอกชนบางแห่งของไทยผลิตเองได้ แต่อยากให้โรงงานอุตสาหกรรมของทหารเป็นหน่วยหลักในการผลิต จะได้ประหยัดงบประมาณประเทศในการจัดซื้อ

ทั้งนี้ หลักการ คือ ถ้าซื้อยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศ ต้องให้ประเทศผู้ขายถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้ด้วย หรือ ถ้าไม่ถ่ายทอด ก็ให้ถอดแยกชิ้นส่วนยุทโธปกรณ์ที่ซื้อมา เพื่อศึกษาวิจัยเอง

และจากข้อมูลของกระทรวงกลาโหม พบว่า ขณะนี้กองทัพสามารถผลิตกระสุนปืนใหญ่เองได้เกือบหมดทุกชนิดแล้ว เหลือเพียงขนาดเดียว คือ ขนาด 155 ม.ม. ซึ่งตั้งเป้าว่าจะผลิตเองให้ได้ในปี 2564 

ส่วนรถหุ้มเกราะ ผลิตรถต้นแบบเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างการทดสอบ เช่นเดียวกับเรือตรวจการ ที่กองทัพเรือต่อใช้เองได้แล้ว (เรือ ต.) เหลือแค่พัฒนาให้ให้ต่อเรือได้ใหญ่ขึ้น เช่น เรือฟริเกต สำหรับปืนใหญ่ ตอนนี้กองทัพผลิตชิ้นส่วนใช้เองได้ 30% มีแค่ชิ้นส่วนหลัก เช่น ลำกล้อง และระบบควบคุมการยิง ที่ยังต้องซื้อจากต่างประเทศ อยู่ระหว่างการนำของต่างประเทศมาศึกษา เผื่อผลิตใช้เองในอนาคต 

หลังจากกองทัพทำเองได้แล้ว ในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า จะใช้โมเดลแบบเกาหลีใต้ คือ เปิดให้เอกชนในประเทศผลิตให้ โดยมีรัฐควบคุม แต่จะแยกประเภทเป็นกลุ่มผลิตรถถัง , กลุ่มผลิตเรือรบ , กลุ่มผลิตปืนใหญ่ เพื่อกระจายการผลิตตามศักยภาพของแต่ละบริษัท