แยกกันเดินร่วมกันตี!! จับตาการเคลื่อนไหวสององค์กร รับลูก บังเอิญเคลื่อนไหวสิทธิ”เชิญเนติวิทย์-จวกรัฐบาล”  ??

แยกกันเดินร่วมกันตี!! จับตาการเคลื่อนไหวสององค์กร รับลูก บังเอิญเคลื่อนไหวสิทธิ”เชิญเนติวิทย์-จวกรัฐบาล” ??

เมื่อวันที่ 13 ก.พ.61 ที่ผ่านมา เฟซบุ๊ก Netiwit Chotiphatphaisal หรือนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ได้โพสต์อีเมล์ของตนที่อ้างว่าได้รับการเชิญไปขึ้นเวทีเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนระดับโลก ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งตนคาดว่าการที่ตนอออกมาเคลื่อนไหวทางด้านการเมืองที่ผ่านมาในขณะที่รอผลยกฟ้องฝากขังนั้นก็กลายเป็นเรื่องที่ทำให้มูลนิธิ Human Rights Foundation ได้ส่งอีเมล์มีเชิญตนขึ้นเวทีดังกล่าว

โดยระบุว่า
เมื่อวันก่อน ขณะที่ลุ้นว่าศาลจะยกฟ้องคำขอฝากขังของเจ้าพนักงานหรือไม่ จากการกระทำแสดงออกอย่างสันติตามสิทธิ​พลเมือง ผมได้รับจดหมายทางอีเมลจากมูลนิธิ Human Rights Foundation ให้เป็นหนึ่งในปาฐกงาน Oslo Freedom Forum ประจำปี ประจำปี 2018 อันเวทีนี้เป็นที่รับรู้ดีว่าเป็นเวทีระดับโลกในประเด็นสิทธิมนุษยชน การรวมตัวของนักสิทธิมนุษยชน เจ้ารางวัลโนเบลสันติภาพ ประมุขของรัฐ และอื่นๆ โดยจะจัดขึ้น ณ ออสโล ประเทศนอร์เวย์
ผมค่อนข้างแปลกใจปนดีใจปนตกใจที่ได้รับคำเชิญนี้ ผมไม่เคยไปเวทีอะไรแบบนี้มาก่อนเลยไม่ถนัดจะพูดภาษาอังกฤษยาวๆ ซะด้วย อีกอย่างไม่คิดว่าตนเองจะเป็นที่รู้จัก​หรือมีคนเห็นสิ่งที่ทำอะไรนัก
การเดินทางนี้จะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้าผมหวังว่าการเดินทางครั้งนี้คงจะได้พบปะผู้รักความเป็นธรรมจากทั่วโลก พูดเรื่องเมืองไทยยกย่องเพื่อนๆผู้กล้าหาญ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ และเป็นประโยชน์กับสังคมไทยและโลกเท่าที่เป็นไปได้

แยกกันเดินร่วมกันตี!! จับตาการเคลื่อนไหวสององค์กร รับลูก บังเอิญเคลื่อนไหวสิทธิ”เชิญเนติวิทย์-จวกรัฐบาล”  ??

   ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ก.พ.61 ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานใหญ่ฮิวแมนไรท์วอทช์ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง ”ประเทศไทย : วาระสิทธิมนุษยชนที่กลวงเปล่า หากไม่มีการปฏิรูปอย่างจริงจังทำตามคำสัญญาฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐบาลพลเรือน” โดยนายแบรด อดัม ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุตอนหนึ่งว่า วันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯเป็นเจ้าภาพเพื่อส่งเสริมวาระสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่มีการรับรองเมื่อเดือนพฤศจิกายน โดยมีผู้เข้าร่วมงานหลายร้อยคน รวมทั้งผู้แทนการทูตจากต่างประเทศและตัวแทนจากหน่วยงานระหว่างประเทศและพหุภาคี 55 คน นั้น ผู้นำรัฐบาลทหารไทยไม่ควรคิดว่า การเข้าร่วมงานตามมารยาท จะทำให้พวกเขาเชื่อว่า ไทยปลอดจากการกดขี่ปราบปรามทุกเมื่อเชื่อวันแล้ว เพราะแทนที่จะฟื้นฟูการเคารพสิทธิมนุษยชนนำพาประเทศกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลทหารกลับคุกคามผู้วิพากษ์วิจารณ์และผู้เห็นต่าง ห้ามการชุมนุมสาธารณะอย่างสงบ เซ็นเซอร์สื่อ กดดันการใช้เสรีภาพในการแสดงความเห็น

   นายแบรด อดัมส์ ระบุอีกว่า ในวันงาน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงสูตร “4+3+2+1” ของรัฐบาล ที่จะส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชน และสร้างสันติสุขในสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลทหารเคยให้สัญญาแบบเดียวกันตั้งแต่รัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 แต่ไม่เคยทำตามอย่างจริงจัง โดยพล.อ.ประยุทธ์ยังคงใช้อำนาจของตนอย่างกว้างขวางและปราศจากการตรวจสอบ โดยขาดการกำกับดูแลจาก รัฐธรรมนูญที่หนุนหลังโดยรัฐบาลทหาร ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ทั้งนี้เพื่อประกันว่าสมาชิกคสช. จะไม่ถูกตรวจสอบและต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิใด ๆ นับแต่การยึดอำนาจ ทั้งยังเป็นการสืบทอดอำนาจควบคุมอย่างเข้มข้นของกองทัพต่อรัฐบาล แม้จนภายหลังการเลือกตั้งซึ่งรัฐบาลทหารสัญญาจะจัดให้มีขึ้นในปี 2561

   นายแบรด อดัมส์ กล่าวทิ้งทายอีกว่า “แม้จะมีการประกาศรับรองสิ่งที่เรียกว่า ‘วาระสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ’ แต่ยังไม่มีวี่แววว่าระบอบเผด็จการทหารจะยุติลงในเร็ววัน เนื่องจากรัฐบาลทหารยังคงปราบปรามเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และชะลอการคืนอำนาจให้รัฐบาลพลเรือนต่อไป บรรดาพันธมิตรจำเป็นต้องกดดันประเทศไทยอย่างเร่งด่วน เพื่อยุติการกดขี่ปราบปราม และเพื่อฟื้นฟูความเคารพในสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน” 

    ต้องจับตาการเคลื่อนไหวของทั้งสององค์กรสิทธิจะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงหรือจงใจโจมตีรัฐบาล คสช. หรือไม่ เพราะทั้งสอง องค์กรเคลื่อนไหวคือมุ่งมาที่สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยคล้ายกับยุทธศาสตร์แยกกันเดินล้มกันตีใช่หรือไม่

 

Netiwit Chotiphatphaisal