สู้ยิบตา!!  "ทักษิณ" อุทรณ์ยกเลิกพาสปอร์ต อ้างรธน.ใหม่ รับรองเสรีภาพเดินทาง - พิพากษายืนตามที่ศาลปกครองกลาง!?

สู้ยิบตา!! "ทักษิณ" อุทธรณ์ยกเลิกพาสปอร์ต อ้างรธน.ใหม่ รับรองเสรีภาพเดินทาง - พิพากษายืนตามที่ศาลปกครองกลาง!?

เมื่อ 27 ก.พ.61 ที่ศาลปกครอง ถ.แจ้งวัฒนะ  ศาลปกครองสูงสุด ได้ออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกเพื่อให้คู่ความได้แถลงปิดคดี และให้ตุลาการผู้แถลงคดี ได้แถลงความเห็นส่วนตัวตามขั้นตอน ในคดีหมายเลขดำ 2115/2558 ที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายวัฒนา เตียงกูล ทนายความ ยื่นฟ้อง อธิบดีกรมการกงสุลและปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 เรื่องออกคำสั่งโดยมิชอบ กรณีที่ผู้ถูกฟ้องทั้งสอง มีคำสั่งเมื่อวันที่ 26 พ.ค.58 ยกเลิกหนังสือเดินทาง 2 ฉบับ คือ หนังสือเดินทางเลขที่ U 957411 และเลขที่ Z 530117

 

คดีนี้นายทักษิณ ผู้ฟ้องอ้างว่า คำสั่งของอธิบดีกรมการกงสุล ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ยกเลิกหนังสือเดินทางนั้นเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมและใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 กำหนดให้ อธิบดีกรมการกงสุล ผู้ถูกฟ้องที่ 1 มีอำนาจยกเลิกหนังสือเดินทางของบุคคลนั้น ก็ เป็นเพียงกฎระเบียบภายในฝ่ายบริหาร ไม่มีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติให้อำนาจไว้ จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย , ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

ขณะที่ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ก.ย.59 ให้ยกฟ้องคดี เนื่องจากเห็นว่าข้อกำหนดเกี่ยวกับระเบียบการออกหนังสือเดินทางและเอกสารการเดินทาง ขั้นตอนและวิธีการในการขอหนังสือเดินทางและเอกสารฯ ข้อ 21 (4) ว่า พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธหรือยับยั้งการขอ หรือแก้ไขหนังสือเดินทางได้เมื่อผู้ร้อง กระทำผิดกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติราชการ ซึ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือปิดบังความจริงอันเป็นสาระสำคัญ หรือแสดงเอกสารหลักฐานอันเป็นเท็จในการขอหนังสือเดินทาง หรือไม่อยู่ในฐานะที่จะเดินทางไปต่างประเทศ หรือหากเดินทางออกนอกราชอาณาจักรจะเป็นภัยต่อสวัสดิภาพของผู้เดินทางเองหรือกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงปลอดภัย หรือชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย

และข้อ 23 กำหนดว่า พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกและเรียกคืนหนังสือเดินทางได้ เมื่อปรากฏภายหลังว่า (2) ผู้ถือหนังสือเดินทางเป็นบุคคลซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่อาจออกหนังสือเดินทางให้ตามข้อ 21 (4) เป็นหลักเกณฑ์เงื่อนไขบางประการที่กำหนดให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธ หรือยับยั้งหรือยกเลิกหนังสือเดินทางได้ ไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของบุคคลในการเดินทางโดยเด็ดขาดแต่อย่างใด ดังนั้นระเบียบดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพในการเดินทางและกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพในการเดินทางตามที่รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550 มาตรา 29 และมาตรา 34 บัญญัติรับรองไว้ รวมทั้งไม่ขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

โดยนายทักษิณ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ว่า ระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ไม่ใช่กฎหมายเฉพาะให้อำนาจรัฐจำกัดสิทธิเสรีภาพได้ การที่ระเบียบดังกล่าวให้อำนาจอธิบดีกรมการกงสุลไม่ออกหรือยกเลิกหนังสือเดินทางของบุคคลสัญชาติไทยจึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและกติการะหว่างประเทศ และการยกเลิกหนังสือเดินทางโดยอาศัยข้อเท็จจริงจากความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ทั้งที่ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาและออกหมายจับจังถือว่าเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็น และการที่ สตช.กล่าวหาว่านายทักษิณกระทำผิดกฎหมาย ทั้งที่ยังไม่มีการสอบสวนหรือแจ้งข้อกล่าวหา ก็เป็นการกระทำที่รวบรัดขั้นตอนทางกฎหมาย

นอกจากนั้นยังเห็นว่าการที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาที่เป็นการวินิจฉัยว่านายทักษิณกระทำผิดกฎหมายอาญานั้นเห็นว่าศาลปกครองไม่มีอำนาจวินิจฉัยดังกล่าว

ขณะที่ นายวัฒนา เตียงกูล ทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจากนายทักษิณ แถลงต่อศาลด้วยวาจาว่า เนื่องจากในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 38 ระบุว่าบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการเดินทางและการเลือกถิ่นที่อยู่ ซึ่งต่างไปจากรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งตัดคำว่าภายในราชอาณาจักรออกไป เท่ากับว่ารับรองสิทธิการเดินทางของบุคคลทั้งในและนอกราชอาณาจักร ซึ่งการเดินทางนอกราชอาณาจักรจำเป็นจะต้องใช้หนังสือเดินทาง แต่การที่กรมการกงสุลอาศัยเพียงระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ซึ่งเป็นระเบียบภายในเพิกถอนหนังสือเดินทางจึงเป็นการจำกัดสิทธิในการเดินทางตามที่รัฐธรรมนูญรองรับ

รวมทั้งขัดกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและกติการะหว่างประเทศ ซึ่งเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบต่อคนทั่วประเทศ เพราะการที่ฝ่ายบริหารใช้อำนาจตามระเบียบดังกล่าวเพิกถอนหนังสือเดินทางของบุคคลทั้งที่เป็นสิทธิรัฐธรรมนูญรองรับ และฝ่ายบริหารอาจใช้อำนาจตามระเบียบดังกล่าวเพื่อเหตุผลทางการเมืองได้

ส่วนตุลาการผู้แถลงคดี ได้แถลงความเห็นส่วนตัวต่อองค์คณะฯ ว่า "คำอุทธรณ์ของนายทักษิณ ที่อ้างว่าระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 จำกัดสิทธิในการเดินทางตามที่รัฐธรรมนูญรองรับ หรือการยกเลิกหนังสือเดินทาง ทั้งที่มีเพียงข้อกล่าวหาว่านายทักษิณกระทำผิดกฎหมายอาญา หรือที่นายทักษิณ อ้างว่าการใช้ดุลพินิจในการยกเลิกหนังสือเดินทางดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัตินั้น ไม่สามารถรับฟังได้

โดยข้อ 23 ของระเบียบดังกล่าวได้กำหนดไว้แล้วว่า กรณีหากพบว่ามีผู้กระทำการขัดต่อหลักเกณฑ์ตามระเบียบสามารถยกเลิกหนังสือเดินทางได้ การยกเลิกหนังสือเดินทางของนายทักษิณ จึงไม่เข้าข่ายเป็นการละเมิดสิทธิ ถือเป็นการกระทำตามรูปแบบขั้นตอนปกติไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติ จึงเห็นควรที่ศาลปกครองสูงสุด จะมีคำพิพากษายืนให้ยกฟ้องตามที่ศาลปกครองกลางเคยมีคำพิพากษา"