ภาพติดตาคนไทย "ทักษิณ"กราบแผ่นดินต่อหน้ากล้อง เตือนใจ ในฐานะนักโทษหนีคดี!!??

สืบเนื่องจากกรณีที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊คส่วนตัว Oak Panthongtae Shinawatra รำลึกครบรอบ 10 ปี วันที่ 28 ก.พ. ภาพกราบแผ่นดินของบิดาตน หลังจากที่ถูกรัฐประหารเมื่อปี49 บางช่วงช่วงคอน ระบุว่า

28 กุมภาพันธ์ 2561 คือวันครบรอบ 10ปี ของภาพนี้ครับ

“กราบแผ่นดิน” ผมยังจำภาพนี้ได้ติดตา ในวันที่คุณพ่อกลับมาเมืองไทยเป็นครั้งแรก นับจากวันที่ถูกรัฐประหารไปปีครึ่ง คุณพ่อทรุดตัวลงไปกราบกับพื้น โดยที่คนเดินตามหลังไม่ทันตั้งตัว จนได้ยินเสียงถามมาจากข้างหลังไกลๆว่าเกิดอะไรขึ้น

รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 ครั้งนั้นยังถือว่าดีที่ ผบ.ทบ.ผู้นำการยึดอำนาจ มิได้ยึดติดกับอำนาจที่ตนได้มา จึงแต่งตั้งบุคคลอื่นเป็นนายกฯ และใช้เวลาประมาณปีเดียว ก็คืนอำนาจให้กับประชาชน ทำให้บ้านเมืองกลับเป็นประชาธิปไตยอีกครั้ง

   จุดเริ่มต้นเกิดจากการเมื่อ วันที่ 19 ก.ย.2549นายทักษิณ ถูกคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รัฐประหารระหว่างไปเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 61 ที่สหรัฐฯ

หลังจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยปี 2550 พรรคพลังประชาชน ได้รับชัยชนะ ส่งผลให้นายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะนอมินีนายทักษิณ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีจึงทำนายทักษิณสามารถเดินทางกลับมายังประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ก.พ.2551นายทักษิณเดินทางจากเกาะฮ่องกงกลับประเทศไทย ที่สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมก้มลงกราบแผ่นดิน ซึ่งเป็นการเดินทางกลับประเทศไทยครั้งแรกในรอบ 1 ปี 5 เดือน หลังถูกรัฐประหาร

จากนั้น ทักษิณเดินทางไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อรายงานตัวในคดีทุจริตที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก ต่อด้วยการรายงานตัวต่ออัยการสูงสุด นายทักษิณ ยังถูกศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซีแอสเสท ด้วย ทำให้ต้องเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ต่อในทันทีที่ได้รับการประกันตัวจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ

ระหว่างนั้นทั้ง 2 คน ได้ขออนุญาตศาลฎีกาฯ เดินทางออกนอกประเทศ โดยให้เหตุผลเดินทางไปปฏิบัติภารกิจประเทศจีนและญี่ปุ่น โดยระบุวันเดินทางระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม - 10 สิงหาคม 2551 ในรายละเอียดคุณหญิงพจมาน ให้เหตุผลขอเดินทางไปร่วมพิธีเปิดงานกีฬาโอลิมปิก ที่ประเทศจีน ระหว่างในวันที่ 5-10 สิงหาคม 2551

จากนั้นผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาลับหลัง ตัดสินให้จำคุกนายทักษิณ 2 ปี ส่วนคุณหญิงพจมาน ยกฟ้อง รวมระยะเวลาที่นายทักษิณหนีคดีจนถึงปัจจุบันคือ 10 ปี

ต่อมา นายทักษิณ ออกแถลงการณ์ขอลี้ภัยทางการเมืองที่ประเทศอังกฤษ จากนั้นได้มีความเคลื่อนไหวเดินทางไปประเทศต่างๆ เป็นระยะ รวมทั้งพบครอบครัว และผู้ใกล้ชิดในประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆ ประเทศไทยบ่อยครั้ง
สาเหตุที่ทำ“ทักษิณ” ต้องโคจรรอบโลก ไม่สามารถกลับเข้าบ้านเกิดได้ เพราะมีสถานะเป็น “ผู้ต้องหาหนีคำพิพากษา” ในคดีทุจริตที่ดินรัชดาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินไป 6.4 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ยังเจออีก 5 คดี ที่ศาลออกหมายจับและจำหน่ายคดีชั่วคราว
1.คดีเอ็กซิมแบงก์ปล่อยเงินกู้ให้รัฐบาลพม่า 4 พันล้านบาทเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์โทรคมนาคมจากชินคอร์ป

2.คดีทุจริตโครงการหวยบนดิน 3 ตัว 2 ตัว

3.คดีธนาคารกรุงไทยอนุมัติสินเชื่อ 9 พันล้านบาทให้บริษัทในเครือกฤษดามหานคร

4.คดีออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ-ดาวเทียมเป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป ทำรัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท 

5.คดีหมิ่นประมาทกองทัพบก


ดังนั้นการนายพานทองแท้จะระลึกถึงในฐานะลูกก็ไม่ได้ผิดแปลกอะไร แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนต้องระลึกเช่นกัน ในฐานะนักโทษคดีทุจริตหลบหนีออกนอกประเทศ มิหนำซ้ำหลังจากการทำร้ายประเทศ นายทักษิณยังส่งคนในตระกลูชินวัตรเข้ามาอีก2คน คือ นาย สมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องแท้ๆ  ที่ตอนนี้มีชะตากรรม ไม่แตกต่างกัน ได้หลบหนีออกนอกประเทศจากคดีจำนำข้าว ที่ได้สร้างความเสียงหายกับชาติอย่างร้ายแรง ทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท

สำหรับพฤติการณ์ที่นำมาสู่คำพิพากษา เป็นผลสืบเนื่องจากโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งศาลฎีกาฯ มีคำวินิจฉัยว่า เป็นการขายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีการแอบอ้างสัญญาจีทูจี เพื่อนำข้าวมาเวียนขายแก่ผู้ค้าข้าวในประเทศ เป็นการแสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริต ที่ผ่านมามีข้อมูล ทั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน การตั้งกระทู้ถามในสภา และข่าวจากสื่อมวลชน แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับไม่ระงับยับยั้งจนเกิดความเสียหาย

 

อย่างไรเสีย รูปนายทักษิณกราบแผ่นดิน "ต่อหน้ากล้อง" คนไทยคงไม่ลืมเลือน ในฐานะนักโทษหนีคดี!!??