ไพร่รับใช้เจ้า “สนธิญาณ” สอนคิด”ไพร่หมื่นล้าน” ขบถแค่เปลือกของชนชั้นนายทุม ความเท่าเทียมไม่ได้อยู่ที่ระบอบ?!

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

เมื่อ"ไพร่รับใช้เจ้า"บอกกล่าว"ไพร่หมื่นล้าน "ว่าจะไร้ราคาเมื่อเป็น"ซ้ายปัญญาอ่อน"(ตอนที่2)
    "ไม่ต้องหมอบกราบพระเจ้าองค์ไหน หรือบริจาคเงินให้ผู้วิเศษองค์ใด อนาคตของความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยอยู่ที่ความก้าวหน้าด้านวิทยศาสตร์และเทคโนโลยี" ธนาธรกล่าวไว้
ความคิดพื้นฐานอย่างนี้ถือว่าเป็นความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ และจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่หลักคิดนี้ก็ไปพ้องกับนักคิดที่มีหลักคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์คนหนึ่งนั่นก็คือ "คาร์ล มาร์กซ์"ผู้เป็นบิดาแห่งคอมมิวนิสต์และโดยมีปรัชญา"วัตถุนิยมวิภาษวิธี"เป็นหลักคิดและมีทฤษฎี"วัตถุนิยมประวัติศาสตร์"ชี้นำการเปลี่ยนแปลง!!!!
 ดังนั้นเมื่อ"ธนาธร"เดินหน้าเข้าสู่การเมืองโดยได้นำเสนอหลักคิดของตัวเองออกมามากมายไปในทางที่"ขบถ"ต่อระบบดั้งเดิมของสังคม จึงจะต้องตั้งคำถามว่า"เข้าใจ"หรือไม่ว่า????
สังคมดั้งเดิมเกิดขึ้นจากรากฐานอะไรและวิวัฒนาการมาเป็นอย่างไรจึงเป็นอยู่ในปัจจุบันและหากจะเปลี่ยนแปลงไปอนาคตก็ต้องพิจารณาว่า จะใช้หลักคิดใด เป็นหลักฐานในการเปลี่ยนแปลง???
เพราะสถานะปัจจุบันของ"ธนาธร"นั้นมีความขัดแย้งกันเองอยู่ในตัว!!!
วิวัฒนาการของสังคมเกิดขึ้นจากสังคมบุพกาลที่ทุกคนอยู่กันอย่าง"เท่าเทียม"อาศัยปัจจัยตามธรรมชาติเพื่อดำรงชีวิตอยู่
      ต่อมาเมื่อมีการค้นพบเทคโนโลยีพื้นฐานเช่นไฟเครื่องไม้เครื่องมือในการล่าสัตว์และทำการเกษตร จึงทำให้เกิด"โครงสร้างทางเศรษฐกิจ"ที่มีพื้นฐานทางการเกษตรขึ้น"มูลค่าส่วนเกิน"ตึงเกิดขึ้น  เริ่มมีการสะสมแย่งชิง สังคมเริ่มแบ่งแยกกันออกเป็นกลุ่มๆ เกิดระบบการปกครองขึ้นเรียกว่า"ระบอบศักดินา"ผู้นำเรียกว่า"พระเจ้าแผ่นดิน"เพราะเป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหมดที่ใช้ในการทำการเกษตร(นา) และมีขุนนางผู้ร่วมปกครองที่ได้รับค่าตอบแทนเป็นนาตามยศศักดิ์และตำแหน่งสูงต่ำลดหลั่นกันไป!!!!

 ที่สำคัญมีประชาชนคนธรรมดาเป็นผู้ลงมือทำการผลิตให้กับ"พระเจ้าแผ่นดิน"และ"ขุนนาง" ประชาชนธรรมดาเหล่านี้เรียกว่า"ไพร่"!!!
    ต่อมาได้มีการค้นพบเทคโนโลยี่ ที่สูงขึ้นเพื่อใช้ทุ่นแรงของมนุษย์ กลุ่มคนที่ครอบครองเทคโนโลยีดังกล่าวได้ใช้เทคโนโลยีนั้นแสวงหา"มูลค่าส่วนเกิน"โดยมีเงินเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน และเมื่อสะสมเงินมากขึ้นเขาก็กลายเป็นผู้มีอำนาจเรียกกันว่า"นายทุน"ส่วนประชาชนคนธรรมดาที่เคยเป็น"ไพร่"ก็แปลเปลี่ยนมาเป็น"ผู้ใช้แรงงาน"หรือ"กรรมกร"!!!
    "นายทุน"สะสมเงินมากขึ้น อำนาจก็ตามมาเกิดความคิดว่าไม่อยากอยู่ภาย"ใต้การปกครอง"ของ"พระเจ้าแผ่นดิน"และขุนนางจึงสร้างสรรค์ระบบการปกครองใหม่ขึ้นเรียกว่า"ประชาธิปไตย"โดยมีข้ออ้างว่า"คนทุกคนเท่าเทียมกัน"จึงควรเลือกตั้งผู้นำของตัวเองขึ้นมาเอง ไม่ใช่มาจากการสืบทอดอำนาจ!!!!
    การปฏิวัติโค้นล้มสังคมจึงเกิดขึ้นเป็นรถลอกแรก!!!!
   "คาร์ล มาร์กซ์" เห็นว่าระบอบ"ประชาธิปไตย"ก็เป็นแค่ระบบหนึ่งที่"นายทุน"ได้สร้างขึ้นเพื่อกอบโกยมูลค่าส่วนเกินที่ประชาชนผลิตขึ้นมาเท่านั้น จึงจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบการปกครองใหม่ที่"กระจายมูลค่าส่วนเกิน"อย่างเป็นธรรม!! ให้กับประชาชนซึ่งเป็นผู้ผลิต
     ระบอบคอมมิวนิสต์จึงเกิดขึ้น จากนั้นสังคมของมนุษย์ชาติในโลกนี้จึงปกครองผสมผสานกันไปทั้งสามระบอบคือ"ศักดินา " "ประชาธิปไตย"และ"คอมมิวนิสต์"!!!!
     มีคำถามมากมายว่าระบอบไหน ดีกว่ากัน "ประชาธิปไตย"ก็เห็นหายนะและความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่แตกต่างกันอย่างมากมายใน"สหรัฐอเมริกา"และ"ยุโรป"
    "ศักดินา "ก็ยังคงอยู่ในหลายประเทศในตะวันออกกลาง!!!
     "คอมมิวนิสต์"หลายประเทศล่มสลายลงไปหลายที่เหลืออยู่เช่นจีน เวียดนาม ลาวฯ ประชาชนก็มีชีวิตที่ดีขึ้นแต่สิ่งที่"คอมมิวนิสต์"ได้ทำก็คือปรับเปลี่ยนหลักคิดของ"คาร์ล มาร์กซ์" มาผสมผสานกับหลักของ"ศาสนา" เพื่อทำให้ประชาชนมีความสุขที่แท้จริงว่านอกเหนือจากการได้แบ่งปันมูลค่าส่วนเกินที่เหมาะสมแล้วยังจะต้องมีภาวะทางจิตใจที่สุขสงบอันเป็นความสุขที่แท้จริงด้วย
     ไม่เพียงเท่านั้นในระบอบเศรษฐกิจก็เอาหลักของทุนนิยมมาผสมเข้าไปด้วยกัน
      สิ่งที่กำลังจะบอกกับ"ธนาธร"ก็คือทุกเรื่องในโลกนี้มีมิติที่ซับซ้อนและผสมผสานกันอยู่ไม่ใช่มีเพียงแค่ดำกับขาวหรือเพียงสองด้านที่"ธนาธร"เห็นเท่านั้น
     และที่สำคัญคือความคิด"ขบถ"ของ"ธนาธรที่"เป็นอยู่นั้นเป็นแค่เปลือก!!!!
    เพราะพื้นฐานความรู้สึกที่แท้จริงของ"ธนาธร"ยังเป็น"ชนชั้นนายทุน" คิดแบบ"นายทุน"

ดังเช่นเหตุการณ์เมื่อในปี 2549 พนักงานบริษัทไทยซัมมิท อีสเทิร์น ซีบอร์ด ออโต้พาร์ท อินดัสตรี จำกัด จำนวน 260 คน ถูกเลิกจ้างงานเพราะได้ไปสมัครเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานฟอร์ดและมาสด้าประเทศไทย ต่อมาในปี 2557  บริษัทซัมมิทมีการกดดันให้พนักงานทำงานล่วงเวลา แทนที่จะจ่ายค่าจ้างในระดับเพียงพอและรับสมัครคนงานเพิ่ม และบริษัทก็ลงโทษพนักงานที่ไม่ให้ความร่วมมือในการทำงานล่วงเวลา นอกจากนี้ทางบริษัทได้ออกคำสั่งให้กรรมการสหภาพ 4 ท่าน คือ ประธาน รองประธาน กรรมการพื้นที่แหลมฉบัง และกรรมการพื้นที่ระยอง หยุดปฏิบัติงาน เพื่อหวังปลดออก!!!!
   แค่นี้ชัดเจนไหม????
   อยากเปลี่ยนสังคมให้เท่าเทียมไม่ต้องไปไกล ถึงสังคมไทยหรอก แค่เปลี่ยนบริษัทตัวเองก่อนอย่าเก็บมูลค่าส่วนเกิน เอาไว้แค่ตระกูลตัวเอง จงจัดสรรปันส่วนหุ้นในบริษัทให้กับพนักงาน ถ้าทำเป็นระบบศากรหรืออะไรก็ตามแต่ที่นำไปสู่เนื้อหาแห่ง"ความเท่าเทียมกัน"กัน
    เพราะ"ความเท่าเทียมที่แท้จริง"นั้นไม่ได้อยู่ที่ระบบปกครองได้อยู่ที่ระบบเศรษฐกิจระบบการปกครองเป็นเพียงยอดบนของระบบเศรษฐกิจเท่านั้น
 ไม่มีอะไรโกรธเคืองเป็นการส่วนตัวแต่มีบทเรียนที่เคยคิดอย่างนี้มาก่อนแล้วเห็นว่าไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงหลังจากที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนา เลยไม่อยากให้คนจำนวนหนึ่งหลงใหลไปกับของปลอม!!!!
     ตอนหน้ามาว่ากันต่อว่าเมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วต้องคิดให้ลึกซึ้งเพราะชีวิตมีมิติที่ล้ำลึกเกินกว่าที่เราเห็น!!!!