เละ?! เปลือย"ไพร่ธนาธร" หลังโบ้ยอย่าสนใจอดีต โดนจวกพูดแล้วไม่รับผิดชอบ-ต่างอะไรนกม.รุ่นเก่า ขณะปิยบุตรคงอยากเห็นเมืองไทยนองเลือด

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

 

หลังนายปิยบุตร แสงกนกกุล หนึ่งในหัวหอกที่ร่วมก๊วนกับ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ก่อตั้ง "พรรคอนาคตใหม่" ได้ผุดไอเดีย 6 วิธีการจัดการ “มรดกของคณะรัฐประหาร คสช.” และโยนมันออกมาให้สังคมได้ถกเถียงผ่านเฟซบุ๊กของตน โดยนำเสนอแนวคิดหลากหลายประเด็น และแตะไปหลายองค์กร ไม่เว้นแม้กระทั่งศาลที่เขาต้องการให้ "ผู้พิพากษาศาลสูงและตุลาการศาลสูง ต้องได้รับการเสนอชื่อโดยคณะรัฐมนตรี และได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา"

 

รวมทั้งเสนอแก้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนลงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับแทนรัฐธรรมนูญปัจจุบันหรือไม่ ทั้งยังเสนอให้ยกเลิกมาตรา 279 ของรัฐธรรมนูญที่รับรองให้ประกาศ คสช. และการกระทำที่เกี่ยวเนื่องชอบด้วยกฎหมาย และให้ทบทวนแก้ไขยกเลิกประกาศ และคำสั่งของ คสช.ทั้งหมด  

ความร้อนวิชาของ "ปิยบุตร" ทำให้นักวิชาการชื่อดังที่เกาะติดการก่อเกิดของ "พรรคอนาคตใหม่" มาตั้งแต่ต้นอย่าง "อ.สุวินัย ภรณวลัย"  ออกมาถลกแนวคิดนี้อย่างถึงแก่น ทั้งที่ความจริง อ.สุวินัย ซึ่งรู้กันดีว่ามีจุดยืนทางการเมืองต่างขั้วกับแก๊งไพร่อย่างฟ้ากับเหว เป็นบุคคลแรก ๆ ที่เรียกร้องให้สังคมเปิดโอกาสการเข้าสู่การเมืองของ "แก๊งไพร่หมื่นล้าน" เพราะเห็นว่าอาจเป็นทางเลือกใหม่ให้กับสังคมไทย

แม้ชุดความคิดดังกล่าวของปิยุบุตร จะสร้างความฮือฮาในหมู่ชาวแดง-แก๊งร่านที่อยากกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดโต้ตอบ คสช. ที่เข้ามาจัดการรัฐบาล "หนูปู" ที่พวกเขาบูชาค่อนข้างมาก เพราะมันดู "ก้าวหน้า" และเป็นฝรั่งจ๊า...ตามที่พวกเขาถูกเป่าหูมานานนับสิบปีว่า...ต้องยึดโยงกับประชาชน ต้องเลือกตั้ง ต้องเคารพสิทธิ ฯลฯ ซึ่งก็จำขี้ปากฝรั่งมาพูดต่อเท่านั้น...จึงจะเป็นประชาธิปไตย

 

 

 

 

ทว่าสำหรับผู้รู้อย่าง อ.สุวินัย กลับมองว่า สิ่งที่เขาเสนอล้วนอันตรายต่อสังคมโดยรวม และ อ.สุวินัยถึงกับฟันธงว่า สิ่งที่อนาคตใหม่พูดถึงนั้น...ไม่ต่างอะไรกับ "การกลายเป็นพรรคปฏิวัติตามโมเดลการปฏิวัติฝรั่งเศส" เลยสักนิด และนั่น "อาจนำมาซึ่งการนองเลือดในสังคมไทยอีกครั้ง"

และถึงแม้นายปิยบุตร จะระบุเอาไว้ตอนท้ายข้อเสนอว่า "ความคิดข้อเสนอต่างๆ เพราะตนอยากทดลองโยนความคิดนี้ ให้สังคมได้ลองถกเถียงอภิปรายกัน" ทั้งระบุด้วยว่า "เป็นความคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตย และต้องการแก้ไขปัญหาที่คณะรัฐประหารได้ก่อทิ้งเอาไว้ และไม่อยากให้วงจรรัฐประหารกลับมาอีก" นั่นก็ไม่อาจทำให้สังคมคลายความคลางแคลงใจลงได้


ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งวานนี้ อีกหนึ่งหัวหอด นายธนาธรได้ไปพูดที่เวทีเสวนา  “อนาคตประเทศไทยไปทางไหน” โดยมีผู้ร่วมพูดคุยประกอบด้วย คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย, นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือไอติม หลายชายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และตัวเขา


โดยธนาธร ได้กล่าวเชิงอุดมคติทำนองว่า จุดยืนทางการเมืองของตนจะไม่เรียกทหารออกมาทำรัฐประหาร ตนผ่านรัฐประหารมา 4 ครั้ง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าแก้ไขปัญหาไม่ได้ ตนจึงขอให้กลับมาเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย อย่าเรียก อย่าคิด แก้ปัญหาด้วยอำนาจที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งนี้รัฐธรรมนูญปี 60 ทำให้เกิดระเบิดเวลา เพราะมาจากรัฐประหารที่ไม่ได้มาจากประชาชนแท้จริง ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ดังนั้นเราต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 60 เพื่อเดินไปข้างหน้า เพราะไม่เช่นนั้นพรรคการเมืองที่เข้ามาจะเจอทางตัน และอย่าเชื่ออำนาจนอกระบบว่าจะมาแก้ไขปัญหาเราได้ ทั้งนี้เลือกตั้งคราวหน้าใครแพ้ขอให้แพ้ให้เป็น อย่าเรียกเพื่อนออกมา

             
“ตอนนี้ผมไม่เห็นว่าใครจะยึดมั่นอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างจริงจังในสังคมไทย ภารกิจของผมก่อนตายคือ ทำให้การรัฐประหารครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ผมพร้อมติดคุก อาจถึงชีวิตไม่มีใครกล้าทำ ผมเข้ามาตรงนี้พร้อมติดคุก และคุยกับครอบครัวว่าอาจถึงชีวิต อาจต้องเข้าคุก เมื่อวานซืนผมเพิ่งถูกขู่ฆ่าจากคน 2-3 คน" ธนาธร กล่าวอ้างผ่านเวที

อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องหลักแหลมก็มองออกได้ไม่ยากว่า คำพูดของธนาธรนั้นสอดคล้องกับข้อเสนอของ "ปิยุบุตร" อย่างมีนัยยะสำคัญทีเดียว โดยเฉพาะประโยคที่ว่า "เราต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 60 เพื่อเดินไปข้างหน้า"

...นั่นเองจึงทำให้หลายฝ่ายเริ่มหันกลับมามอง "พรรคอนาคตใหม่" ว่า แท้แล้วจุดหมายปลายทางของพวกเขาต้องการสิ่งใดกันแน่...หรือทั้งหลายทั้งปวงนั่น เป็นหนึ่งในยุทธวิธี "เคาะระฆังให้เกิดเสียงดัง" แล้วโยนมันออกมาให้สังคมได้แบ่งฝ่ายถกเถียง จากนั้นเมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งก็คือเสื้อแดงบางปีกที่ยังไงก็เห็นด้วยแน่... รวมทั้งอาจได้เด็กรุ่นใหม่ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางการเมืองไทย และถูกสอนให้รังเกียจชิงชังทหาร...บางกลุ่มคล้อยตาม...เมื่อนั้นก็เปิดศึกเผชิญหน้ากับสถาบันทหารโดยตรง รวมทั้งเปิดทางให้ระบบธุรกิจการเมืองเผด็จการรัฐสภาในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมกลับมายึดครองประเทศอย่างถาวร ขณะเดียวกัน "อำนาจตุลาการ" ที่เคยเป็นเสาหลักให้แก่บ้านเมือง เมื่อยามที่ไม่อาจพึ่งพิง "ฝ่ายนิติบัญญัติ และบริหาร" ได้เหมือนช่วงที่ "ระบอบทักษิณ" รวบอำนาจไว้เมื่อ 10 กว่าปีก่อน...ก็คงจะไม่อาจช่วยสังคมไทยได้เช่นกาลก่อน

เหตุนี้ อ.สุวินัยถึงกับออกปากว่า สิ่งที่อนาคตใหม่พูดถึงนั้น..."อาจนำมาซึ่งการนองเลือดในสังคมไทยครั้งใหญ่อีกครั้ง"

 
ขณะที่ตัวธนาธรเองว่าไปแล้ว เขาแทบไม่มีอะไรต่างไปจากนักการเมืองรุ่นเก่า...อย่างทักษิณ โดยเฉพาะกรณีที่เขาถูกขุดคุ้ยคำพูดในอดีตมาหลายต่อหลายกรณี และเจ้าตัวออกมาแก้ต่างทำนองว่า...นั่นเป็นคำพูดในอดีต อย่าไปถือสา โดยขอตัดบทง่ายๆ ว่า “เราควรเดินไปข้างหน้า คุยกันเรื่องอนาคตดีกว่า แถมยังอ้างว่า สิ่งที่กำลังถูกขุดออกมานั้น เป็นการใส่ร้ายป้ายสี เหมือนเมื่อครั้งที่ ทักษิณ ชินวัตร ก็โดนกระทำในลักษณะเดียวกันนี้

คำกล่าวของธนาธรในเรื่องดังกล่าว ทำให้หลายฝ่ายจับไต๋ได้ทันทีว่า...แท้แล้ว...เขากำลังไม่รับผิดชอบในคำพูดของตน...ทั้งที่ในทางการเมือง "คำพูดถือเป็นนายคนพูด" และถึงแม้เขาจะพูดก่อนเข้าสู่เวทีการเมืองก็จริง...แต่หากจะอาสามาเป็นตัวแทนประชาชน...ก็จำเป็นต้องรักษาสิ่งที่ตนเคยลั่นวาจาไว้....ไม่ใช่ปัดความรับผิดชอบเช่นนี้..เรื่องนี้เคยปรากฏในสังคมไทยมาก่อนแล้ว...กรณีการซุกหุ้นของทักษิณที่เกิดวาทกรรม "บกพร่องโดยสุจริต" ซึ่งสะพัดอย่างหลักในช่วงหนึ่ง กระทั่งทำให้ทักษิณขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนได้

 

ขณะที่ในส่วนของธนาธร หากเขายังเล่นลิ้นปัดความรับผิดชอบในคำพูดเช่นนั้น จะต่างอะไรจากนักการเมืองรุ่นเก่าที่เขาดูแคลน...และอาจส่งผลให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกในทางการเมืองไปชั่วข้ามคืนก็เป็นได้