พลิกแฟ้ม-คดีกรุงไทย! เหตใดลูกชายนายใหญ่จึงเต้นหนัก-ขาแหย่คุก แถมเป็น"ชินวัตร"รายล่าสุดที่อาจซ้ำรอยพ่อ-อาสาว จนผู้น้องต้องอ้อนขอความเป็นธรรม

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

 

หลัง "นายพานทองแท้ ชินวัตร" บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้อื้อฉาว กับพวกรวม 4 คน เดินทางเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาฐาน "ฟอกเงินและสมคบกับฟอกเงิน" ในคดีทุจริตการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยแก่กลุ่มกฤษดามหานคร เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2560 หรือเมื่อกว่า 6 เดือนก่อน เหตุพนักงานสอบสวนยื่นคำขาดหากเบี้ยวอาจโดนหมายจับ เพราะคดีนี้ส่อจะหมดอายุความในปลายปี 2561 นี้...นั่นจึงถือเป็น...การนับหนึ่งในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อกรณีของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของทักษิณ...หลังใช้อำนาจทางการเมืองยื้อยุดฉุดเวลาไว้กว่า 10 กว่าปี จนคดีจะขาดอายุความอยู่รอมร่อในปลายปีนี้

 

ขณะที่ความเคลื่อนไหวล่าสุดของเจ้าตัวต่อกรณีนี้ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กวานนี้ทำนอง ข้าจะผิดคนเดียวไม่ได้ โดยไปลากเอา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ มาเกี่ยวข้องกับคดีด้วย โดยอ้างว่า มีเช็ค 2 ฉบับ และใบนำฝากของธนาคารว่าเป็นชื่อของ พล.อ.เปรม จำนวนเงิน 250,000 บาท ซึ่ง ป๋าเปรมสั่งให้นำเงินก้อนนี้ไปฝากเข้าบัญชีมูลนิธิรัฐบุรุษ ส่วนเช็คอีกใบสั่งจ่ายเงินสดเข้าบัญชี พล.ร.ท.พระจุณณ์ ตามประทีป นายทหารคนสนิทของ พล.อ.เปรมฯ

ส่วนทาง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ "อุ๊งอิ๊ง" ผู้น้องสาวก็รับลูกเรื่องนี้ในทันที โดยออกมาโพสต์ทำนอง "ผลิตซ้ำ" ว่า “ให้กำลังใจครับพี่ชาย! เงินก็คืนไปตั้งแต่แรกแล้ว หลักฐานก็ชัดเจนทุกสิ่ง ขอความเป็นธรรมสักครั้ง ให้ครอบครัวเราเหอะ สาธุ”


อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า เรื่องที่ 2 ศรีพี่น้องบุตรสาว-บุตรชายของนายใหญ่ออกมากล่าวอ้าง...ทำนองโบ้ยความผิดให้พ้นตัวล่าสุดนั้น...เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงหรือไม่-อย่างไร เพราะหลังจากนั้น "พล.ท.พิศณุ พุทธวงศ์" หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรมฯ ก็ได้ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า นายพานทองแท้ มั่วข้อมูลจงใจใส่ร้ายป้ายสีมูลนิธิรัฐบุรุษ แบบหวังผลทางการเมืองและทางคดี เพราะเช็ค 2 ฉบับที่พูดถึงนั้นได้ส่งต่อเข้าการกุศลจริงๆ พล.อ.เปรม ไม่ได้นำมาใช้ส่วนตัว

 

อ่าน เลือดกลบปาก? "ลูกป๋า"ฟาดปาก"เสี่ยโอ๊ค" หลังผวาหนักเล่นใหญ่ถึงขั้นป้ายสี“ป๋าเปรม”เซ็นเช็คเข้าบัญชีตัวเอง-เช็คเดียวกับที่ตนโดนคดีฟอกเงิน


ว่าไปแล้ว หากจะพูดกันด้วยหัวใจที่เป็นธรรม....คดีทุจริตเงินกู้ธนาคารกรุงไทยนั้น นับเป็นอีกหนึ่งมหากาพย์การโกงที่ยืดเยื้อยาวนานพอสมควร กระทั่งอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ถูกศาลฎีกาฯ นักการเมืองจำคุกไปถึง 18 ปี เมื่อกลางปี 2558 หรือเมื่อ 2 ปีก่อน ขณะที่ชื่อของนายพานทองแท้ ก็คาบลูกคาบดอกในคดีนี้มาโดยตลอด

 

ซึ่งหากจะทำความเข้าใจคดีนี้อย่างถ่องแท้ ต้องย้อนกลับไปถึงชั้นการสอบสวนของ “ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ซึ่งเกิดขึ้นหลังเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยพล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน โดยตอนที่ คตส. สรุปสำนวนคดีส่งให้ ป.ป.ช. ไต่สวนต่อนั้น (คือ คตส.หมดหน้าที่ และหน่วยงานที่ทำคดีต่อ คือ ป.ป.ช.)  ในสำนวนของ คตส. มีผู้กระทำความผิดถึง 31 คน  และกรรมการ คตส. บางท่าน เคยระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การดำเนินการปล่อยกู้มีการดำเนินการเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การอนุมัติสินเชื่อโดยเร่งด่วน มีเงินที่นำไปให้พวกพ้อง มีการ "โอนเงินให้ "ลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่" ที่เป็นผู้สั่งการให้อนุมัติสินเชื่อ จากนั้นก็โอนเงินให้บิดาของอดีต ส.ส.ลูกพรรค และโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของบิดา, เลขาฯ ส่วนตัว ของภรรยาหัวหน้าพรรค เป็นเหตุให้ธนาคารกรุงไทยเสียหาย 4.5 พันล้านบาท" กรรมการ คตส. ท่านหนึ่ง ให้เบาะแส ซึ่งเกิดจากการตรวจพบเส้นทางการเงินที่โยงใยถึง  "ลูกชายของหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่" ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน


 

และจากแฟ้มสำนวนคดีแบงก์กรุงไทยฯ ของ คตส. ก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า มติของคณะกรรมการตรวจสอบฯ ซึ่งพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 28/2551 เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 ได้มีมติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนายพานทองแท้ ว่า “ส่วนผู้ที่ได้รับเงินจากการกระทำความผิด คตส. เห็นว่า ให้ดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 ฐานรับของโจร เป็นจำนวน 4 ราย แม้บุคคลเหล่านั้นไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกับบุคคล 27 รายข้างต้น แต่ได้รับเงินที่ได้จากการกระทำความผิดฐานยักยอก และช่วยปิดบังซ่อนเร้นอันทำให้ยากต่อการติดตาม และบุคคลทั้งสี่นี้ให้แยกสำนวนไปดำเนินคดีในศาลอาญาต่อไป”


อย่างไรก็ตาม คดีนี้เมื่ออัยการสูงสุด ตัดสินใจเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 13 มิ.ย 2555 หรือเมื่อกว่า 5 ปีก่อน โดยมี นายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 นอกนั้นก็มี กรรมการบริหาร, กรรมการสินเชื่อ, เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารกรุงไทย และกลุ่มบริษัทเอกชน รวม 27 รายเป็นจำเลยร่วม หลังจากถูกสังคมตั้งคำถามกรณีนี้อย่างหนักหน่วง ว่าเหตุใดจึงอึดอาดนัก ทว่าในคำฟ้องนั้นกลับทำให้สังคมคลางแคลงใจยิ่งขึ้นไปอีก เพราะพบว่ามีถึง 4 คน ที่เคยถูก คตส. กล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้อย่างชัดเจน กลับหลุดคดี คือ อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง และ 1 ในคนที่ได้ประโยชน์นั้น ได้แก่ "นายพานทองแท้ ชินวัตร" ที่หวนกลับมามีชื่อในสำนวนอีกครั้งในวันนี้  

 

ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อกรณีที่ชื่อของนายพานทองแท้หายไป ที่ผ่านมาทางอัยการสูงสุดกลับไม่ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้แก่สังคมมากนัก มีอภินิหารอะไรในเรื่องนี้หรือไม่ และปล่อยให้คาใจคนไทยที่รักความถูกต้องมาจนวันนี้ (เหมือนกับที่ถอนฟ้องคดีธรรมกาย ที่เหลือการสอบพยานอีกแค่ 2 ปากไม่มีผิด)

 
แต่ก็นั่นแหล่ะ ท้ายที่สุดชื่อของ "นายพานทองแท้" ได้หวนกลับมาอยู่ในสำนวนอีกครั้งหลังคดีถูกพลิกแฟ้ม กระทั่งถูกเรียกเข้ารับทราบข้อหาฟอกเงินช่วงปลายปีที่ผ่านมา ก่อนที่คดีจะหมดอายุความในปี 2561 เหมือนกับที่ "คดีรับของโจร" จากกรณีนี้ก็ถูกยื้อจนหมดอายุความไปต่อหน้าต่อตา และการแจ้งข้อกล่าวหาในครั้งนี้ เป็นผลมาจาก ก่อนหน้านี้ทาง ป.ป.ง.ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษให้ DSI ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเงินจำนวน 10 ล้านบาท และ 26 ล้านบาท ซึ่งเปรียบเสมือนเงินปากถุงจากการปล่อยกู้คดีดังกล่าว และถึงแม้ทางด้านนายพานทองแท้ จะเคยเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน ในฐานะพยานไปแล้ว แต่พนักงานสอบสวนไม่เชื่อในหลักฐานที่พยานนำเข้าชี้แจง ประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดีเข้าองค์ประกอบความผิด ของกฎหมายฟอกเงิน จึงมีมติให้ออกหมายเรียกเข้ารับทราบข้อกล่าวหานี้

 

และถึงแม้ล่าสุด นายชุมสาย ศรียาภัย ซึ่งเป็นทนายความของนายพานทองแท้ รวมทั้งช่วงหลังมีข่าวว่า "นายชัยเกษม นิติสิริ"  อดีต รมว.ยุติธรรมยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะร่วมทีมทนายด้วย จะเข้ายื่นหนังสือต่อ DSI โดยอ้างว่า คสต. ได้แจ้งข้อหานายพานทองแท้ในข้อหารับของโจรเพียงข้อหาเดียวเท่านั้น ดังนั้น จะดำเนินคดีข้อหาฟอกเงินกับนายพานทองแท้ไม่ได้...นั่นก็เป็นแค่คำแก้ต่างของผู้ถูกกล่าวหา...และดูจะขัดแย้งกับความเห็นของ DSI ก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ส่วนสุดท้ายเรี่องนี้จะลงเอยอย่างไร...ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนายใหญ่จะต้องระเห็จออกนอกประเทศ...ซ้ำรอยผู้พ่อ และอาสาว

รวมทั้งคำแก้ต่างแบบกำปั้นทุบดินของ 2 ศรีพี่น้องล่าสุด...โดยเฉพาะจาก "อุ๊งอิ๊ง" ผู้น้องสาวที่ถึงกับออกมาออดอ้อนสังคมนั้น...จะทำพี่ชายสุดที่รักของเธอรอดคุกไปได้หรือไม่...โปรดติดตามอย่ากะพริบตา

 

อ่าน กลัวหมดตระกูล! "ทักษิณ"ผวาคดี"โอ๊ค" หวั่นซ้ำรอยตน-น้องสาวต้องระเห็จถาวร ส่งมือดี"ชัยเกษม" คุมคดี แค่นี้ก็ชัดว่าชะตากรรม"หนูโอ๊ค" หนักแค่ไหน