ถ้า"พงศ์พร"ตกนรก คนทั้งประเทศจะไม่มีใครได้"ขึ้นสวรรค์"เลย? "ป๋าเปลว" เขียนให้คิดกรณี"ผอ.พศ." ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ-ล้างคราบไคลพระศาสนา

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

 

หลัง "ผอ.สำนักพุทธฯ พ.ต.ท. พงศ์พร  พราหมณ์เสน่ห์" ออกมาร้องทุกข์กล่าวโทษ "5 พระมหาเถรฯ" ชื่อก้องแห่งวงการดงขมิ้น เอี่ยวโกงเงินทอนวัดล็อต 3 กับกองบังคับการป้องกันปราบปรามฯ หรือ บก.ปปป. ในช่วงก่อนหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเรื่องนี้นับว่าสั่นสะเทือนวงการผ้าเหลืองเป็นอย่างยิ่ง เพราะเจ้าคุณทั้ง 5 นั้น แต่ละรูปถือเป็นระดับ “พระสังฆาธิการ” ผู้ปกครองคณะสงฆ์ที่มีอำนาจกว้างขวางทั่วราชอาณาจักร และชาวบ้านนับหน้าตาถือพากันกราบไหว้มานานนับสิบ ๆ ปีทั้งสิ้น

 
เรื่องนี้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย และมีหลากหลายแง่มุมให้ต้องขบคิด โดยเฉพาะความกล้าหาญของ "พ.ต.ท. พงศ์พร  พราหมณ์เสน่ห์" ที่หาญกล้ากระทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า ต่อกรณีนี้ "ป๋าเปลว" หรือ "เปลว สีเงิน" คอลัมนิสต์อาวุโสระดับซือแป๋เรียกอาจารย์แห่ง "หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์" ได้เขียนเอาไว้ในบทความ "นรก-สวรรค์ ของ พ.ต.ท.พงศ์พร" ที่เผยแพร่ทางคอลัมน์ "คนปลายซอย" ของ"หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์" เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา

โดย "ป๋าเปลว" ถึงกับกล่าวไว้ในย่อหน้าแรก ๆ ของบทความว่า ถ้า "พ.ต.ท.พงศ์พร" ตกนรก
ผมก็เชื่อว่า........คนทั้งประเทศ จะไม่มีใครได้ "ขึ้นสวรรค์" เลย! เพราะการคัดกรอง "อลัชชี" ออกจาก "สงฆ์สาวก" อันคนอื่นไม่กล้าทำ แต่ พ.ต.ท.พงศ์พรทำ นั้น เป็น "บุญ" โดยแท้...........

ทั้งยังระบุด้วยว่า "ที่ พ.ต.ท.พงศ์พร ทำบุญใหญ่ให้พระพุทธศาสนาครั้งนี้มีเหตุผลเดียว คือ "สำนึก" ไงล่ะ สำนึกว่า ที่เขาให้มาอยู่ในตำแหน่งนี้-ตรงนี้-ชั่วโมงนี้ ก็เพื่อให้มาชำระ-สะสาง "ด้วง-หนอน" ที่ซ่อนตัว ชอนไช "พระพุทธศาสนา" มานานเป็นทศวรรษ! ไม่ใช่ให้มา "จัดระเบียบพระ" หากแต่ให้มา "ช่วยเหลือพระ" อันเป็นเนื้อนาบุญประเสริฐ ได้จัด "ระเบียบคณะสงฆ์" คล่องตัวขึ้น

ดังรายละเอียดทั้งหมดที่ "ไทยโพสต์" ลงไว้ และถือว่าน่าสนใจยิ่ง คือ

'นรก-สวรรค์' ของ 'พ.ต.ท.พงศ์พร'

ถ้า "พ.ต.ท.พงศ์พร" ตกนรก

            ผมก็เชื่อว่า........

          คนทั้งประเทศ จะไม่มีใครได้ "ขึ้นสวรรค์" เลย!

          เพราะการคัดกรอง "อลัชชี" ออกจาก "สงฆ์สาวก" อันคนอื่นไม่กล้าทำ แต่ พ.ต.ท.พงศ์พรทำ นั้น

          เป็น "บุญ" โดยแท้...........

       

  รองจากมรรควิถี "ศีล-สมาธิ-ภาวนา"!

          เพราะคติที่ว่า "เห็นเหลืองๆ ก็เหมาเป็นพระไปทั้งหมด" นั่นแหละ

          เป็นช่องให้ "กาฝาก" แฝง "คราบพระ" เข้ามาทำ "มิดี-มิงาม" ในความเป็นพุทธศาสนา นับวันจะมากขึ้น

          มีผลให้คนที่ "รู้จัก" พระพุทธศาสนา "แค่เปลือก" พลอยเข้าใจผิด

          ในความ "เป็นพระ-เป็นพุทธ" ที่แท้..........

          ผ่าน "พฤติกรรมเทียม" ของพวก "กาฝาก-อลัชชี" เหล่านั้น

          วงการสงฆ์ไทยและพระพุทธศาสนา "ไม่เสื่อม" หรอก

          หากแต่ "อับเศร้า-หมองศรี" ในจิตศรัทธา-ปสาทะ ของผู้พบเห็น ด้วยหดหู่!

          ยิ่ง "พระบ้าน" กับ "วิถีชาวบ้าน" กลมกลืนไปด้วยกันในเปลือกที่เรียก "พิธีกรรม"

          บทบาทพระทุกวันนี้ จึงหนักไปทาง..........

          "สร้าง-สวด-เสก-สมณศักดิ์-ศพ" และจบที่

          "ซอง"!

          คณะสงฆ์เอง ก็ควรต้องปฏิรูป ช่วยดัดชาวบ้านให้ตรงทางบ้าง อย่าเออออตามที่ชาวบ้านหลงว่า "พระคือตัวบุญ"

          แล้วก็ปล่อยให้ใช้ "ลาภ-สักการะ-อามิส" ที่เรียกปัจจัยไทยทาน "ซื้อบุญ"

          แทนปฏิบัติธรรม อันเป็น "บุญแท้"!

          สงฆ์ไทยวันนี้ มากต่อมาก ยอมให้ "สังคมวัตถุ" จูงนำ "สังคมธรรม"

          ถ้าคณะสงฆ์ไม่สังคายนาบทบาทพระสงฆ์ไทยเข้าวิถี "ศีล-สมาธิ-ปัญญา" ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

          "อนาคต" มีความเป็นไปได้..........

           "พระพุทธศาสนา" ในประเทศไทย แก่นหาย เหลือกระพี้หุ้มเพี้ยนเป็น "พุทธพาณิชย์"

          ส่วน "ธรรม" จากโอษฐ์พระพุทธองค์ อันเป็นเนื้อแท้ของ "พุทธ"

          จะไปประกาศ "พระบริสุทธิคุณ" ผุดผ่องอยู่กลางใจ ในคนต่างชาติ-ต่างภาษา

          เช่น กับชนชาวยุโรป!

          พระทุกวันนี้ บางส่วน "ถือยศ-ถือตำแหน่ง" มากกว่า "ถือศีล-ถือธรรม"

          ชาวบ้านก็เหมือนกัน กับ "หลวงตา-พระครู" ก็งั้นๆ

          แต่กับ "เจ้าคุณ" ขึ้นไป.........

          ยิ่งมีตำแหน่งใหญ่ทางปกครองด้วยแล้ว ทุกอย่างต้องเต็กเปี๊ยก

          ไปกิจนิมนต์ ซองต้องโตกว่า "หลวงตา-พระครู" เป็นร้อยเท่า-พันเท่า

          ต้องมีขบวนแห่แหน ยานพาหนะก็ต้องเนี้ยบ เผลอๆ คานให้หาม มีพรมให้เหยียบ!

          "พระบรมศาสดาเจ้า" เสด็จไปทางไหน ทรงย่ำพระบาท และประทับตามโคนไม้

          แต่ "ศิษย์ตถาคต" ในไทย ไปไหนๆ ต้องเบนซ์หรู อยู่ตึกติดแอร์ จีวรแพรอีกตะหาก!

          วัตรปฏิบัติจะหนักและเน้นไปทาง "กิน-กาม-เกียรติ" แทน "ละ-เลิก-บรรลุ"

          เมื่อเป็นอาจิณ จิตก็จม.........

          จึงไม่แปลก ที่จะเห็น "ปฏิกิริยา" พระบริวารส่วนหนึ่ง เมื่อทราบ ระดับทรงสมณศักดิ์ ทรงตำแหน่งใหญ่ ถูกกล่าวโทษ

          จึงใช้สัญชาตญาณ คือความรู้สึกปราศจากสติตรอง ไม่ต่างชาวบ้านที่ไกลธรรม กัดฟัน-เคี้ยวกราม เชิงต่อต้าน

           แทนสำนึกด้วยธรรม........

          "อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา บัณฑิต ย่อมฝึกตน ทั้ง กาย-ใจ ให้อยู่ในระเบียบวินัย"

          พระเด็ก ในฐานะ "ใต้ปกครอง" เป็นเช่นนั้น ก็พอเข้าใจ

          แต่พระใหญ่.........

          ในฐานะ "ผู้ปกครอง" ประหนึ่งให้ท้าย แถมมีคำตอบโจทย์ที่ "ผอ.สำนักพุทธ" กล่าวโทษ ไปในทาง "แค่น" ด้วยทิฏฐุปาทาน

          ก็เวทนาในธรรม

          ใหญ่ด้วย "ตัณหาห่อ" อย่างนี้แหละหนอ ฟังแล้ว-ดูแล้ว จึงไม่สงสัยว่า "หลักฐานขนาดไหน" ที่ไปกล่าวโทษ?

          ตอนนี้ "หลายคน" เป็นห่วง...........

          ไม่ได้ห่วง ๕ พระเถระ ที่ถูกกล่าวโทษ

          แต่ "ห่วง" พ.ต.ท.พงศ์พร ที่หาญไปกล่าวโทษพระชั้นผู้ใหญ่ระดับกรรมการมหาเถรสมาคม

          โดยเฉพาะ "พระพรหม" ทั้ง ๓ พรหมนั้น พูดกันตามภาษาชาวบ้าน มากยศ-มากบารมี-มากศิษย์

          ทั้งในวงการพระ และวงการสงฆ์!

          เรียกว่า ครั้งนี้ เดิมพันไม่ใช่แค่ตำแหน่ง ผอ.สำนักพุทธ ไปถึงขั้น "นรก-สวรรค์" นั่นเลย

          แต่ในข้อสังเกตผม พ.ต.ท.พงศ์พร เป็นฆราวาส เป็นพุทธมามกะ แถมเน้นไปทางปฏิบัติมากกว่าพิธีกรรม

          ในตำแหน่ง ผอ.สำนักพุทธ ยังต้องทำหน้าที่ "เลขาธิการมหาเถรสมาคม" ด้วย

          ดูแล้ว ไม่มีเหตุจูงใจอะไร ที่จะปั้นเรื่องเท็จ ใช้เหตุไม่มีมูล ไปกลั่นแกล้ง เจาะจง "กล่าวโทษ" กรรมการ มส.ถึง ๓ รูป

          จะว่า "หวังแย่งตำแหน่ง" ก็ขำกลิ้ง.............

          เพราะเป็นตำแหน่งทางสงฆ์ปกครอง อันฆราวาส ไม่ว่าใครทั้งนั้น เข้าไปเป็น "รัฐมนตรีสงฆ์" ไม่ได้!

          ดังนั้น ที่ พ.ต.ท.พงศ์พร ทำบุญใหญ่ให้พระพุทธศาสนาครั้งนี้มีเหตุผลเดียว คือ

          "สำนึก" ไงล่ะ

          สำนึกว่า ที่เขาให้มาอยู่ในตำแหน่งนี้-ตรงนี้-ชั่วโมงนี้ ก็เพื่อให้มาชำระ-สะสาง "ด้วง-หนอน"

          ที่ซ่อนตัว ชอนไช "พระพุทธศาสนา" มานานเป็นทศวรรษ!

          ไม่ใช่ให้มา "จัดระเบียบพระ"

          หากแต่ให้มา "ช่วยเหลือพระ" อันเป็นเนื้อนาบุญประเสริฐ ได้จัด "ระเบียบคณะสงฆ์" คล่องตัวขึ้น

          เพื่อ ต่อๆ ไป.....

          ฝ่ายอาณาจักรกับพุทธจักร จะได้เป็น "จักรธรรม" หมุนตามเฟืองร่วมแกนไปด้วยกัน!

          ถ้าใครจะว่า ที่ พ.ต.ท.พงศ์พรกล่าวโทษพระครั้งนี้ จะตกนรก

          ผมว่า ถ้าทำ "ตามธรรม-ตามหลักฐาน" แล้วตก

          ก็ให้ "พ.ต.ท.พงศ์พร" ตกไปเถอะ

          เพราะการตกของท่าน เป็นตกเพื่อหนุนให้คณะสงฆ์และพุทธศาสนาได้ลอยสูงขึ้น

          ดูเหมือนมีคนอีกจำนวนมาก อยากตกไปอยู่ขุมเดียวกับท่าน!

          อาจมีคนข้องใจ ว่าเมื่อวาน (๒๐ เม.ย.๖๑) คณะกรรมการมหาเถรสมาคมประชุม

          ทำไมไม่มี "มาตรการ" เป็นมติอย่างหนึ่ง-อย่างใดออกมา กับกรรมการมหาเถรฯ ๓ รูป ที่ต้องคดี?

          ตรงนี้ อยากย้ำเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องสักนิด

          "พระพรหมดิลก" เจ้าอาวาสวัดสามพระยาวรวิหาร

          "พระพรหมสิทธิ" เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และ

          "พระพรหมเมธี" ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร

          กระทั่งอีก "๒ ท่านเจ้าคุณ" วัดสระเกศฯ ที่ถูกกล่าวหาด้วย

          ขณะนี้ เพียงถูกกล่าวโทษ...........

          จึงยังไม่มีสิ่งใด "ทึกทัก-กล่าวอ้าง" ได้ว่า พระเถระทั้ง ๕ มัวหมอง-ต้องมลทิน

          ทั้ง ๕ รูป ถือว่าบริสุทธิ์!

          เมื่อบริสุทธิ์ จึงไม่มีมูลเหตุใด ที่ "มหาเถรสมาคม" จะต้องหยิบเรื่องขึ้นมาพิจารณา เพื่อมีมติอย่างหนึ่ง-อย่างใด

          จนกว่า...........

          จนกว่า ป.ป.ช.ที่กำลังพิจารณาข้อมูล-หลักฐานสำนวนกล่าวโทษในขณะนี้

          มีมติ "ชี้มูลคดี" ออกมาอย่างหนึ่ง-อย่างใด

          ถ้า ป.ป.ช.ชี้ว่า ข้อกล่าวโทษ พระเถระทั้ง ๕ หรือ รูปใด-รูปหนึ่ง มีมูลความผิดจริง

          นั่นแหละ จะตกเป็น "ผู้ต้องหา" ตามกฎหมายทันที!

          เมื่อเป็นผู้ต้องหา ก็เข้าหลักเกณฑ์ตาม "พ.ร.บ.คณะสงฆ์" ว่าให้ทำอย่างไรในทางคดีอาญา เมื่อพระตกเป็นผู้ต้องหา

          ส่วนจะเป็นปาราชิก อันเป็นโทษทางพระวินัยหรือไม่?

          ในทางสงฆ์..........

          ก็มีทั้ง "พระวินัยบัญญัติ" และ "พ.ร.บ.สงฆ์บัญญัติ" ด้านอธิกรณ์ไว้เสร็จสรรพ ไม่ต้องห่วง

          ฉะนั้น ไม่ต้องเร่งเร้า-รีบร้อน ทุกอย่าง "เป็นธรรม-ตามธรรม" ในชั้นนี้ พระคุณเจ้าทั้ง ๕ ถือว่า "บริสุทธิ์"

          อดใจรอ ป.ป.ช.ชี้มูล ก่อน จากนั้นค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้ พระคุณเจ้าว่าอย่างไร ก็ฟังท่าน

          ต่อเมื่อ ป.ป.ช.ชี้ปัง...........

          ถ้า "ไม่มีมูล" ตัว พ.ต.ท.พงศ์พรเอง เห็นจะต้องกลายเป็นมูล

          แต่ถ้าชี้ว่า "คดีมีมูล"

          ในทางโลก ๑.ตกเป็นผู้ต้องหา ๒.ประกันตัว หรือ ๓.จับสึก ส่วนในทางสงฆ์...............

          ๓ มหาเถรฯ จะดำรงความเป็น "กรรมการ มส." อยู่ได้ฤๅ?

            "มหาเถรสมาคม" มีมติแน่!

         เปลว สีเงิน

อ่าน อย่าคิดว่าถอดใจ?! "พงศ์พร" ไม่หวั่นรังสีอำมหิต-เดินหน้าลุยแก๊งงาบอีก 7 วัด...เรื่องนี้ปล่อยให้ "มือปราบอลัชชี-สู้อยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้"

ขอบคุณพิเศษข้อเขียนของ : "เปลว สีเงิน" แห่ง "หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์"