เพ้อพกล่าสุด?"ไพร่หมื่นล้าน"บอก"ทักษิณ"ถูกแกล้งทางการเมือง อยากเห็นคนรวยจนเท่ากัน ดันลืม"คดีCTX ของอา"แม้สั่งไม่ฟ้อง แต่สังคมยังแคลงใจไม่หาย

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

 

เพ้อพกล่าสุด?! "ไพร่หมื่นล้าน" บอก"ทักษิณ" ถูกกลั่นแกล้ง-อยากเห็นคนรวยคนจนเท่าเทียมทางกฎหมาย ดันลืม"คดี CTX ของอา" แม้สุดท้าย ป.ป.ช. จะสั่งไม่ฟ้อง เพราะหลักฐานไม่พอ แต่เรื่องนี้สังคมยังแคลงใจไม่หาย...โดยเฉพาะหลักฐานจากทางสหรัฐฯ นั้น แน่นหนาเพียงใด...เพราะแม้แต่ ป.ป.ช. เองก็เคยตั้งข้อสังเกตไว้เช่นกัน...ก่อนจะยกประโยชน์ให้จำเลยไป


หลัง "นายธนาธร  จึงรุ่งเรืองกิจ"  ผู้ก่อตั้ง "พรรคอนาคตใหม่" และเรียกตัวเองว่า "ไพร่หมื่นล้าน"  ให้สัมภาษณ์ "เดอะอีสานเรคคอร์ด" ถึงปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทยทำนองว่า คนที่มีอำนาจปัจจุบัน ไม่ได้จริงใจกับเรื่องคอร์รัปชัน และที่ผ่านมาคอร์รัปชันถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้าม   

"ถ้ามีใครเอาจริงกับการคอร์รัปชันจริงๆ เราก็ต้องเห็นคนคอร์รัปชันติดคุกเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ปัญหาก็คือไม่มีนักการเมือง หรือนักธุรกิจชั้นนำ ที่ตกเป็นจำเลยของการคอร์รัปชัน แทบไม่มีเลย เราแปลกใจว่าเป็นไปได้อย่างไร แต่เป็นไปได้ เพราะเป็นประเทศคนไม่เท่ากัน  ประเทศที่คนมีอำนาจ คนที่มีเงิน ไม่อยู่ภายใต้กฎหมาย คอร์รัปชันเป็นข้อหาที่ใช้เล่นเกมทางการเมือง

"ถ้าพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา เอาจริงกับเรื่องการคอร์รัปชันควรเริ่มที่การจัดการเรื่องนาฬิกาหรูก่อน ผมไม่เชื่อว่าคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่รัฐบาลเอาจริงเอาจัง เชื่อว่าเป็นเรื่องการกลั่นแกล้งทางการเมือง ตนอยากเห็นคนที่พูดเรื่องการคอร์รัปชัน คนที่เรียกร้องการต่อต้านการคอร์รัปชันออกมาพูดถึงการบังคับใช้คอร์รัปชัน กับทุกคนไม่ใช่ใช้กับคุณทักษิณคนเดียว ผมอยากเห็นบ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าคุณจะมีอำนาจแค่ไหน คุณจะรวยแค่ไหน ต่อตราชั่งยุติธรรมทุกคนต้องเท่ากันภายใต้กฎหมาย นั่นคือสิ่งที่ผมอยากเห็น" ธนาธร อ้างผ่านคำสัมภาษณ์
       

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นายธนาธรพล่ามนั้น โดยเฉพาะเรื่องความเสมอภาค...ความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย....ที่อยากให้คนรวยกับคนจนเท่าเทียมกันนั้น...ดูจะเป็นการ "ถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเอง" อยู่ไม่น้อย เพราะเอาแค่จาก  "คดี CTX 9000"  ซึ่งข้อเท็จจริงทางการเมืองต่างรู้กันดีว่า "นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" อาแท้ ๆ ของเขา และเป็นอดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย อดีตรองนายกฯ และอดีต รมว. คมนาคมยุคทักษิณ 1 เคยตกเป็นผู้ต้องหากระทำผิดใน "โครงการจัดซื้อจัดจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสาร และเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ" จำนวน 26 เครื่อง มูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาทมาก่อน และถึงแม้คดีนี้ในท้ายที่สุด ป.ป.ช.จะมีมติสั่งไม่ฟ้องเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2555 หรือเมื่อกว่า 6 ปีก่อน โดยให้เหตุผลว่า...หลักฐานไม่เพียงพอ แต่ใครจะกล้ายืนยันว่า "คดีนี้ไม่ถูกแทรกแซงจากอำนาจทางการเมืองของระบอบทักษิณ" ในชั้นการไต่สวนหาความจริงที่การเมืองยังมีอิทธิพล และล้วงลูกเข้าไปได้อยู่มาก
 

เพราะหากดูจากระยะเวลาของการไต่สวนที่ยาวนานกว่า 7 ปี จากคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องหลายต่อหลายชุดที่ขัดแย้งกันพอสมควรในข้อเท็จจริงของคดี ก็พอจะเห็นภาพได้ไม่ยากว่า...เรื่องนี้ถูกยื้อแบบสุดฤทธิ์แค่ไหน

ยิ่งความเห็นต่างระหว่าง "อัยการ" กับ "คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ" หรือ คตส. (ที่ตั้งขึ้นมาหลังรัฐประหาร 2549)  ที่แตกต่างกันในรายละเอียดของคดี กระทั่งนำมาสู่การตั้งคณะกรรมร่วม ก่อนจะถูกส่งต่อให้ ป.ป.ช. เป็นผู้ดำเนินการต่อไป และถึงแม้ ป.ป.ช. จะมีมติสั่งไม่ฟ้องเมื่อเดือนสิงหาคม 2555 ด้วยเหตุผล...หลักฐานที่ทางการสหรัฐฯ ส่งมาให้ไม่เพียงพอที่จะชี้มูลได้...จึงยกประโยชน์ให้จำเลยไปอย่างที่กล่าว...แต่นั่นก็ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตต่อกรณีนี้ไม่น้อย

 
เพราะแม้แต่ทาง ป.ป.ช. เองก็เคยตั้งข้อสังเกตต่อกรณีนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจ ก่อนจะมีมติสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ว่า “พยานหลักฐานเอกสารที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาส่งมาให้สำนักงานอัยการสูงสุด ตามพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 จะมีน้ำหนักรับฟังได้หรือไม่นั้น ต้องประมวลข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีทั้งหมด จะนำข้อเสนอความตอนหนึ่งตอนใดของเอกสารซึ่งมีจำนวนหลายร้อยหน้ามาเป็นข้อโต้แย้งว่าไม่มีหลักฐานของการให้ค่าตอบแทนโดยอินวิชั่น เทคโนโลยี หรือตัวแทนบริษัท ให้เจ้าหน้าที่คนไทย หรือว่าหากมีการเสนอให้ค่าตอบแทนได้มีการยอมรับข้อเสนอดังกล่าว ดังข้ออ้างของอัยการสูงสุดหาได้ไม่ เพราะการเสนอให้สินบนกระทำในประเทศไทยมิได้กระทำในสหรัฐอเมริกา หากไม่มีการเสนอสินบนในเรื่องนี้ ก็ไม่มีเหตุผลและความจำเป็นที่อินวิชั่น เทคโนโลยี จะต้องทำบันทึกข้อตกลงกับทางการสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2547 ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น”

ข้อสังเกตของ ป.ป.ช. นั้นแจ่มชัดอยู่แล้วว่า หลักฐานที่ทางสหรัฐฯ ส่งมาให้อัยการนั้น...แน่นหนาเพียงใด (ซึ่งส่งผลให้ยกประโยชน์ให้จำเลยในเวลาต่อมา) และว่าไปแล้วก็สอดคล้องกับข้อคิดเห็นของ "นายเมธี ครองแก้ว" อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้หาข้อมูลเพิ่มเติมจากกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาในคดีดังกล่าว ก่อนจะหมดวาระไปก่อนการพิจารณาสำนวนคดี CTX 9000 ครั้งสุดท้าย ที่ระบุว่า  

"ผู้เขียน (นายเมธี) ไม่ทราบว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ใช้ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นนี้มากน้อยเพียงใด จึงต้องคาดเดาจากคำแถลงการณ์ของคณะกรรมการ ภายหลังมีมติยกคำร้องการกล่าวหาการกระทำผิดของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชนผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ว่าคงเป็นด้วยเหตุผลว่าหลักฐานไม่เพียงพอที่จะฟ้องร้องเอาความผิดใครได้

และอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันคือ เหตุผลที่ว่าคดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้ไม่ใช่เป็นคนทำ แต่เป็นคดีที่ทำเสร็จ มีการชี้มูลเรียบร้อยแล้วโดย คตส. และส่งให้อัยการสูงสุดเพื่อส่งฟ้องแล้ว

คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้เพียงแต่รับรู้ และรับเรื่องมาพิจารณาต่อในกรณีความเห็นระหว่าง คตส. กับอัยการสูงสุดไม่ตรงกัน ความเชื่อมโยงหรือต่อเนื่องในเรื่องนี้ในมุมมองของ ป.ป.ช. จึงมีน้อยหรือไม่มีเลย

และอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ ป.ป.ช. จะยกคำร้องเรื่องนี้ทั้งหมด โดยมีติ่งไว้นิดหนึ่งว่าจะขอไต่สวนคณะกรรมการท่าอากาศยานบางคน ซึ่งอาจถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามมาตรา 103 ของ พ.ร.บ. ป.ป.ช. เรื่องการรับเงินหรือประโยชน์อื่นใดจากบริษัทที่เกี่ยวข้องระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่กฎหมายฉบับนี้ได้ห้ามไว้ และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ คตส. ไม่ได้ไต่สวนไว้ก่อน

ต้องยอมรับว่าอำนาจในการวินิจฉัยหรือใช้ดุลพินิจว่า หลักฐานใดเพียงพอหรือไม่เพียงพอ ที่จะชี้มูลความผิดเจ้าหน้าที่ของรัฐคนใดของกรรมการ ป.ป.ช. แต่ละท่าน เป็นอำนาจเด็ดขาดที่หากใช้อย่างตรงไปตรงมาไม่อาจมีใครไปก้าวล่วงได้ อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าข้อมูลที่มีอยู่เป็นจำนวนมากจนทำให้อาจมองข้าม หรือมองไม่เห็นประเด็นที่เกี่ยวข้องที่สำคัญไปได้" อ.เมธี ระบุ


ว่าไปแล้วความเห็นของ อ.เมธี ที่ระบุว่า คดี CTX 9000 นั้น  ป.ป.ช. ชุดนี้เพียงแต่รับรู้ และรับเรื่องมาพิจารณาต่อจากความเห็นต่างของ คตส. กับอัยการสูงสุด โดยระบุชัดว่า เรื่องนี้มุมมองของ ป.ป.ช. จึงมีอยู่น้อยหรือแทบไม่มีเลย และด้วยข้อมูลที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้อาจมองข้าม หรือมองไม่เห็นประเด็นที่เกี่ยวข้องที่สำคัญไปได้...ซึ่งความเห็นของ อ.เมธี นั้นดูจะสอดคล้องของอารมณ์คนไทยอยู่ไม่น้อย...ที่ยังคงค้างคาใจต่อกรณีหลักฐานจากทางสหรัฐฯ ต่อคดีนี้...แม้จะเคารพมติของ ป.ป.ช.ที่สุดท้ายจะยกฟ้องก็ตาม

 

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : ไทยโพสต์