อย่าหลง..อย่าใหล ไปตามกระแสของ"ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ?

อย่าหลง..อย่าใหล ไปตามกระแสของ"ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" แกนผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ในรายการ ตอนหนึ่งว่า พรรคอนาคตใหม่มีเป้าหมายหลักๆ คือ เปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างในประเทศไทย อาทิ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปกองทัพ การกระจายอำนาจไปให้ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการได้เอง

“ไพร่หมื่นล้าน” ออกมาพรรณนาโวหารถึงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี”ที่ดูอย่างไร ก็ยังดูคล้ายยังสุดมือคว้า จากการที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ในรายการ เจาะลึก ข่าวร้อน ทางสถานีโทรทัศน์ TNN24 เมื่อวันที่2 พ.ค.61 เวลา 20.30 น.ที่ผ่านมา ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ เจาะลึก ข่าวร้อน ทางสถานีโทรทัศน์ TNN24 ตอนหนึ่งว่า พรรคอนาคตใหม่มีเป้าหมายหลักๆ คือ เปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างในประเทศไทย อาทิ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปกองทัพ การกระจายอำนาจไปให้ท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการได้เอง เปลี่ยนคอนเซปต์การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ ซึ่งต้องเปิดข้อมูลทั้งหมดให้ประชาชนรับรู้ ยกเว้นในเรื่องความมั่นคง ซึ่งถ้าเราเปิดข้อมูลได้ทั้งหมด ประชาชนจะเข้ามาร่วมตรวจสอบ ภาคเอกชนก็จะร่วมพัฒนา

 

นายธนาธร กล่าวว่า ยิ่งมีประชาธิปไตยมากเท่าไหร่ คอรัปชันก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น ในสังคมไทยการบังคับใช้กฎหมายไม่เท่ากัน คนที่อยู่ข้างบนไม่เคยโดนเล่นงาน อย่าไปเชื่อวาทะกรรมเก่าๆ ที่ทำให้คนเกลียดกลัวประชาธิปไตย ส่วนวิธีที่จะทำให้คนเลือกพรรคอนาคตใหม่มีวิธีเดียว ลงไปหาคน เคาะประตูบ้าน ทำให้เขาเห็นหน้ามากที่สุด ให้รู้ถึงความแน่วแน่ ตั้งใจที่จะเข้ามาทำงาน

 

นายธนาธร กล่าวว่า ทางพรรคอนาคตใหม่ ตั้งงบประมาณไว้ 350 ล้านบาท ในสู้เลือกตั้ง เราไม่ซื้อเสียง ไม่ดูด ส.ส.เชื่อว่าพรรคการเมืองที่ดีไม่ใช่มีนายทุน 2 - 3 คน เราต้องการพรรคที่เป็นของมวลชน เราจะเปิดเผยงบทั้งหมด เหมือนบริษัทมหาชน

 

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า เคยอยู่ในเครือข่ายผังล้มเจ้า และจะมีผลกระทบทางการเมืองในอนาคตหรือไม่ นายธนาธร ตอบว่า มีความพยายามล้มตน แต่ตนไม่มีเรื่องอื้อฉาวให้โจมตี ปัญหาคือสังคมไทยตลกมาก ภาระในการพิสูจน์อยู่กับตน ทั้งที่มีคนกล่าวหาว่าธนาธรเป็นนอมินี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งคนที่กล่าวหาจะต้องเป็นฝ่ายหาเหตุผลมาพิสูจน์ว่าตนเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ตนไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวกับนายทักษิณ ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ได้นั่งคุยกันก็คือตอนที่บิดาของตนป่วย นอกนั้นก็ไม่เคยนั่งคุยเป็นการส่วนตัว คุณอาสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็ไม่เคยเจอกัน อยากให้สังคมเปิดใจให้กว้าง ว่าข้อกล่าวหามันใช่หรือไม่ใช่

 

นายธนาธร กล่าวอีกว่า ทางพรรคอนาคตใหม่จะใช้กลยุทธ์ทั้งทางโลกออนไลน์ และเคาะประตูบ้าน เข้าขอคะแนนเสียงจากประชาชน โดยเชื่อมั่นว่าพลังโซเชียลสามารถทำให้อะไรก็เกิดขึ้นได้

 

เมื่อถึงกรณีที่ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และนักเทววิทยา เคยทำนายว่า นายธนาธรมีแววได้นั่งแท่นนายกรัฐมนตรี นายธนาธร ตอบว่า "ต้องการเป็นสิครับ การเปลี่ยนแปลงประเทศต้องมีอำนาจทางการเมือง ถ้าไม่พร้อมก็ไม่ตัดสินใจแบบนี้ จะใช้เวลากี่ปีไม่มีใครรู้ เชื่อว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องที่มีประสบการณ์มาก่อน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประชาชน ถ้าประชาชนพร้อม ผมก็พร้อม"

 

เมื่อถามว่า นิยามความสำเร็จทางการเมืองคืออะไร นายธนาธร กล่าวว่า "ความสำเร็จของผม ผมอาจเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปจากการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ได้"

 

 

ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ “ธนาธร” จะออกมาวาดฝันถึงตำแหน่งนายกฯ ในเมื่อเป็นไปตาม”หลักการประชาธิปไตย” แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว“ธนาธร”ต้องยอมรับก่อนว่าเป็นไปได้อยาก 

 

เพราะในช่วง 5 ปีแรกตามบทเฉพาะกาลมาตรา 272  ผู้โหวตนายกฯนั้น คือสมาชิกรัฐสภา (ส.ว. 250เสียง +ส.ส. 500 เสียง) รวม 750 เสียง.. ดังนั้นเมื่อประชุมรัฐสภาคนที่มีสิทธิถูกเสนอชื่อเป็นคู่แข่งขันคือคนที่พรรคการเมืองประกาศ-เสนอชื่อไว้ตามมาตรา 88 ใครที่ได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาคือ 376 เสียงขึ้นไปก็เป็นนายกฯ ได้เลย แน่นอนว่าผู้ที่จะถูกเสนอชื่อนั้น ต้องมาจากพรรคใหญ่ อย่างคนของพรรคเพื่อไทย หรือ ประชาธิปัตย์ เพราะโอกาสที่จะมีส.ส.นั้นมีมากนั้นเอง

 

แต่ถ้าไม่มีใครได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งให้ดำเนินการเลือกนายกฯ ใหม่ หรือที่เรียกกันว่า “ก๊อกสอง”

ก๊อกสอง –การเลือกนายกฯ ก๊อกสองนี้มีสองขยัก          

-ขยักแรกให้สมาชิกรัฐสภาจำนวนเกินกึ่งหนึ่ง (376 คนขึ้นไป) เข้าชื่อกันเสนอต่อประธานรัฐสภาเพื่อขอให้รัฐสภาเปิดประชุมเพื่อมีมติยกเว้นให้คนนอกที่ไม่มีพรรคการเมืองใดเสนอชื่อไว้ตามมาตรา 88 ให้เป็นคู่ชิงนายกฯ ได้         

-ขยักที่ 2 เมื่อประธานรัฐสภาอนุญาตและเปิดประชุมรัฐสภา หากรัฐสภามีมติด้วยคะแนนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 (ของ 2 สภา) คือต้องไม่น้อยกว่า 500 เสียงขึ้นไป ถือว่าเป็นมติยกเว้นหรือที่เรียกกันว่า “ปลดล็อก” นั่นเอง          เมื่อปลดล็อกให้คนนอกบัญชีเข้าแข่งแล้ว ต่อไปก็โหวตเลือกกัน ใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง (376) เพื่อคว้าเก้าอี้นายกฯ           

 

ผู้ที่จะได้คัดเลือกเป็นนายกฯหลังเลือกตั้งนั้น มีความเป็นได้ มาจาก 3ส่วน

 

-คนจากพรรคเพื่อไทย

-คนจากพรรคประชาธิปัตย์

-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 

ดังนั้นการที่ “ธนาธร”ออกมาสร้างกระแสให้สัมภาษณ์ “..ผมอาจเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปจากการเลือกตั้งครั้งหน้าก็ได้" เป็นเพียงวาทะกรรมทางการเมือง ไม่มีโอกาสขึ้นถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ เป็นเพียงการสร้างกระแสเพื่อให้ตนเปิดทางเข้าสภา ซึ่งมีโอกาสได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส. ค่อนข้างสูง และต้องจับตามองต่อถึงแนวความคิดการแก้ไขกฏหมายม.112 เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ร่วมพรรค อย่าง “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ซึ่งเคนเข้า การร่วมรณรงค์แก้ไขม.112  แม้ว่าภายหลังจะออกมากล่าวเป็นการกระทำและความเห็นส่วนตนเกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะมีการจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ โดย”ธนาธร”เองพยายามเบียงเบนประเด็นเมื่อถูกถามถึงกรณีเคยอยู่ในเครือข่ายผังล้มเจ้า แต่กลับตอบเชิงปฏิเสธว่าตนไม่ได้เป็นนอมินี นายทักษิณ 
 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดไต๋กันออกมา! ธนาธร ประกาศหากไม่ได้เป็นส.ส.ทำงานนอกสภาดันปชต.ต่อ?