ไม่ถูกทวงความยุติธรรมกลางม็อบก็บุญหัวแล้ว?ล่าสุด"นายทุนแอ๊บไพร่-ธนาธร" โคตรเพ้อลั่น"ผมอาจเป็นนายกฯคนต่อไปก็ได้"หลังโผล่ร่วมม็อบแรงงานวันก่อน

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

 

ไม่ถูกคนงานไทยซัมมิทที่ถูกเลิกจ้างไปกว่า 260 คน เมื่อปี 2549 ทวงความยุติธรรมกลางม็อบวันแรงงานสากลเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมาก็บุญหัวแล้ว?! ล่าสุด "นายทุนแอ๊บไพร่-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" สุดเพ้อฝันลั่น "ผมอาจเป็นนายกฯ คนต่อไปของไทยก็ได้ใครจะรู้"


หลังปล่อย “เพนกวิน” หรือ "นายพริษฐ์ ชิวารักษ์" ละอ่อนแห่งแก๊งคนอยากเลือกตั้ง และเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง “พรรคอนาคตใหม่” ของเจ้าสัวธนาธร ใช้โอกาสวันแรงงานแห่งชาติวานนี้ แฝงตัวเป็นพี่น้องชาวแรงงาน แล้วพรวดพราดเข้าประชิดตัว “นายกฯ ลุงตู่” พร้อมเล่นละครฉากใหญ่ด้วยการก้มกราบที่พื้น ก่อนจะเปลือยเจตนารมณ์ที่แท้จริง ด้วยการพ่นคำพูดว่า  “ผมขอกราบท่านนายกฯ ผมอยากเลือกตั้ง”
และถูกสื่อมวลชนทุกสำนักนำเสนอ และตำหนิถึงความไม่รู้กาละเทศะไปยกใหญ่แล้ว

วันเดียวกันนั้น ในอีกด้านหนึ่ง "กระฎุมพีแสร้งเป็นไพร่" อย่าง "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ"  กลับเล่นอีกบทหนึ่ง โดยเขาพาตัวเองเข้าไปเดินขบวนร่วมกับพี่น้องผู้ใช้แรงงานในวันดังกล่าว เพื่อหวังสร้างคะแนนนิยมจากกลุ่มแรงงาน พร้อมกับโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "Thanathorn Juangroongruangkit" ทำนองเขา และสมาชิกพรรคฯ ของเขาฟากปีกแรงงานได้ร่วมเดินขบวนเรียกร้องในวันแรงงาน พร้อมโอ่ว่า "พวกตนนี่แหล่ะเป็นผู้เรียกร้องรัฐสวัสดิการ" ให้ผู้ใช้แรงงาน แต่ก็ไม่วายวกกลับมา "เรื่องเลือกตั้ง" ดังที่ยัดปากให้ "เพนกวิน" พูดในบทเดียวกัน...แล้วลากเรื่องวันแรงงานสากล...ไปเป็นประเด็นการเมืองจนได้ ดังรายละเอียดที่ "ธนาธร" โพสต์ไว้ คือ

 
วันนี้พี่สุนทร พี่สุรินทร์ แกนนำปีกแรงงานอนาคตใหม่ พี่ไกลก้อง หนึ่งในผู้ร่วมจดจัดตั้ง และผม ไปร่วมเดินขบวนเนื่องในวันกรรมกรสากล ฟ้าฝนไม่เป็นใจ แต่ใจพี่น้องแรงงานยังสู้เสมอ

 

 นอกจากการเรียกร้องสวัสดิการแรงงาน ยังมีการเรียกร้องสิทธิพื้นฐานที่สุดอย่างการเลือกตั้ง เพราะภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมเท่านั้น ที่ประชาชนจะสามารถเรียกร้องสิทธิเสรีภาพได้อย่างเต็มที่ ได้กำหนดอนาคตของตนเองอย่างแท้จริง

ความพยายามโหนวันแรงงาน โดยชูประเด็นเรียกร้องสวัสดิการ และสิทธิพื้นฐานฯ ดูจะทำให้ธนาธรกลายเป็นพวก "ถ่มน้ำลายรดหน้าตนเอง และพวกความจำสั้น" ไปในทันที เพราะหลายคนมองว่า หากจับความเคลื่อนไหวเอาแค่เฉพาะประเด็นแรงงานที่เห็นอยู่ตรงหน้า...นั่นสะท้อนว่า "ธนาธร" ไม่แยแสอดีตที่ตนเคยทำมา และลากพาให้ตัวเองไปอยู่ในจุดที่อาจจะถูกย้อนเกล็ดได้ง่าย ๆ


เพราะอย่าลืมว่า เมื่อเดือนก่อนช่วงที่เขาเปิดตัวพรรคใหม่ ๆ และโอ่อวดเรื่องนโยบาย "รัฐสวัสดิการ" ของพรรคตน กลับถูก "ซ้ายรุ่นใหญ่ ใจ อึ๊งภากรณ์"  นักวิชาการฝ่ายซ้ายของชาวเสื้อแดง และจะว่าไปก็เป็นพวก ๆ เดียวกับธนาธรในจุดยืนทางการเมืองด้วยซ้ำ ออกมากระซวกไพร่เทียม โดยเขียนบทความเรื่อง "คำถามคาใจกับการก่อตั้งพรรคคนรุ่นใหม่ของปิยบุตรกับธนาธร" หลัง"ไทยซัมมิทฯ" เคยละเมิดสิทธิคนงานขั้นรุนแรงในปี 2549 และปี 2557 โดยในปี 2549 เลิกจ้างคนงานถึง 260 คน เพราะได้ไปสมัครเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานฟอร์ดและมาสด้าประเทศไทย และบริษัทฯ กลัวว่าคนงานจะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น

ขณะที่ในปี 2557  บริษัท ซัมมิท มีการกดดันให้พนักงานทำงานล่วงเวลา แทนที่จะจ่ายค่าจ้างในระดับเพียงพอ และรับสมัครคนงานเพิ่ม และบริษัทก็ลงโทษพนักงานที่ไม่ให้ความร่วมมือในการทำงานล่วงเวลา นอกจากนี้ ทางบริษัทได้ออกคำสั่งให้กรรมการสหภาพ 4 ท่าน คือ ประธาน รองประธาน กรรมการพื้นที่แหลมฉบัง และกรรมการพื้นที่ระยอง หยุดปฏิบัติงาน เพื่อหวังปลดออก ทั้งหลายทั้งปวงนั่นเกิดขึ้นหลังจากที่ธนาธรเข้ามากุมบังเหียนบริษัทฯ แล้ว เพราะเขาเข้ามาหลังบิดาเสียชีวิตเมื่อปี 2546...ดังนั้น หากจะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นคงจะไม่ได้ (หากเขาจะแก้ตัวเช่นนั้น)

 
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร..."ธนาธร" ไม่เคยตอบข้อซักถามใด ๆ ต่อกรณีนี้ เขานิ่งเงียบ และอ้างว่า คนไทยควรลืมอดีต และก้าวไปข้างหน้าทำนองนั้น โดยผู้รู้บางคนถึงกับฟันธงว่า...บุญหัวเท่าไหร่แล้ว...ที่วันเดินขบวนนั้น...ไม่โดนอดีตพนักงานไทยซัมมิตที่โดนเขาปลดออกเรียกร้องความเป็นธรรม...ประจานความจอมปลอมกลางม็อบ

แต่ทว่า...เรื่องการถูกประจานความจอมปลอมกลางม็อบอาจกลายเป็นเด็กไปเลย...เมื่อเอาเข้าจริง "ธนาธร" ไม่ได้แยแสอดีตที่เขาเคยทำไว้อย่างที่กล่าว เพราะล่าสุด "นายทุนแอ๊บไพร่" รายนี้ถึงกับฟันเฟื่องเพ้อเจ้อสุดขีดว่า

“ผมพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ได้ทำตามเป้าหมายที่วางไว้ ใครจะรู้ผมอาจได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทยก็ได้” ซึ่งประโยคดังกล่าว เป็นหนึ่งในคำพูดที่เขาให้สัมภาษณ์กับ สถานี TNN 24  ซึ่งออกอากาศไปเมื่อเวลา 20:30 น. คืนที่ผ่านมา
 

ถ้อยคำของธนาธร ทำให้ผู้รู้ทันหลายคนปะติดปะต่อจิ๊กซอว์ในการพยายามเข้าสู่อำนาจของเขาได้...แจ่มแจ้ง และเห็นภาพที่ชัดเจนจนได้ แต่อย่างไรก็ดี นั่นยิ่งทำให้หลายคนต้องย้อนกลับไปฟังคำพูดในที่ต่าง ๆ ของเขาอีกครั้ง และหลายคนเห็นไปในทางเดียวกันว่า..แท้แล้ว "กระฏุมพีแสร้งเป็นไพร่" คนนี้...ที่สุดอาจเป็นได้แค่...ซ้ายไร้เดียงสาที่ร้อนวิชา และฟุ้งฟันไปตามประสาเศรษฐีมีตังค์ ทว่านั่นจะต้องไม่พังด้วยคำพูดของตัวเองไปก่อน...เพราะการพูดต่างกรรมต่างวาระหลายที่นั้น...ขัดแย้งกันเองจนแทบหาจุดยืนไม่ได้...เพียงแต่สิ่งที่สังวรณ์ก็คือ...คนไทยบางกลุ่มที่หลงภาพความเป็นคนรุ่นใหม่ (ที่เขาพยายามขาย) ตระหนักเรื่องนี้แล้วหรือยัง??