- 07 พ.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
มีที่ไหนในโลกเป็นเช่นนี้หรือ?! อดีต ส.ส.เพื่อไทย ตบเท้าพบ "นายใหญ่-นักโทษหนีคดี"ล่าสุดที่สิงคโปร์แบบต้องเข้าคิวเข้าพบ แม้อ้างแบบข้าง ๆ คู ๆ พวกตนไม่เกี่ยวข้องการจับกุม นั่นเป็นเรื่องของบ้านเมือง แต่ในแง่มุมของจริยธรรมนักการเมืองซึ่งต้องมีมากกว่าคนทั่ว ๆ ไป นั่นเป็นเรื่องสมควรหรือ และต่อให้นายใหญ่มีฐานะเช่นไรในพรรคทางพฤตินัย แต่การมีชนักเป็น "นักโทษหนีคดี" ซึ่งเป็นคดีทุจริตไม่ใช่คดีการเมืองอยู่ด้วย แล้วการไปพบแบบครึกโครมเช่นนั้น...ใช่หรือไม่ว่าจงใจเย้ยคนไทยที่รักความยุติธรรม และยังจะสำรอกว่าตนเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยได้อยู่หรือ?! (ก็ในเมื่อจะทำอะไรยังต้องฟังคน ๆ เดียว)
หลังภาพข่าวอดีตรัฐมนตรี แกนนำรวมทั้งอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินทางไปพบ "นายทักษิณ ชินวัตร" และ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ผู้น้องสาว 2 สองอดีตนายกรัฐมนตรีผู้หลบหนีคีดที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาถูกเผยแพร่ พร้อมคำโอ่อวดถึงการเดินทางดังกล่าวจากอดีต ส.ส. บางคน...เรื่องนี้ก่อให้เกิดคถามตามมามากมายถึงความเหมาะควร ของคนที่อาสามาเป็นตัวแทนชาวบ้าน เพราะใครก็รู้ว่าทักษิณ-ยิ่งลักษณ์นั้นมีสถานะ "นักโทษหลบหนีคดี" ติดตัวอยู่ และการไปพบแบบประเจิดประเจ้อเช่นนี้เหมาะควรหรือ...แล้วมีประเทศประชาธิปไตยในโลกประเทศไหนหรือ...ที่ ส.ส.ของเขากระทำหยาบหยามกฎหมายชาติตัวเองเช่นนี้
จริงอยู่...แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก และพวกเขาจะอ้างอย่างข้าง ๆ คู ๆ เหมือนทุกครั้งว่า พวกตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องการจับกุม เพราะนั่นเป็นเรื่องของบ้านเมืองอย่างที่กล่าว แต่ในแง่มุมของจริยธรรมนั่นก็ก่อให้เกิดคำถามตามมาไม่น้อยเช่นกัน ยิ่งมีการยืนยันตัวเลขว่า มีอดีต ส.ส. รวม ๆ แล้วกว่า 50 คน เดินทางไปในครั้งนี้ และถึงขั้นต้องจัดคิวเข้าพบทักษิณ ท่ามกลางกระแสข่าวที่ลือสะพัดว่า...แท้จริงเพื่อเข้ารับใบสั่งทางการเมืองนั้น (แม้คนเพื่อไทยจะปฏิเสธเรื่องนี้ก็ตาม) นั่นยิ่งต้องตั้งคำถามให้หนักว่า...เช่นนี้พวกเขายังสำรอกว่า...ตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยได้อีกหรือ...เพราะการกระทำมันสวนทางกับคำอ้างอย่างสิ้นเชิง...และว่าไปแล้วสิ่งเหล่านั้นก็เป็นได้แค่..."แก๊งธนบัตรธิปไตย" ที่สมาชิกพรรคฯ รับคำสั่งจากคนคนเดียว...ตามที่เคยมีคนนิยามไว้เท่านั้น
ความจริงในแง่มุมของความเป็นประเทศที่เคารพกฎหมาย กรณีนักโทษหลบหนีคดีไปต่างแดนนั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร ทั้ง ส.ส.หรือคนไทยทั่วไปที่ไปพบเห็นตัวจำเลย ก็มีหน้าที่ หรืออย่างน้อยก็ควรที่จะต้องแจ้งเจ้าพนักงานผู้เกี่ยวข้องรับทราบเบาะแส เพื่อดำเนินการจับกุมต่อไป เพื่อคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของขื่อแปบ้านเมือง
เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า หมายจับของศาลนั้น ไม่ใช่จะออกทิ้งไว้เฉยๆ หรือไม่ต้องบังคับ หรือปฏิบัติตามหมายจับนั้น เพราะถือเป็นคำสั่งเด็ดขาดไปถึงรัฐบาล โดยเฉพาะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาโดยตรงของรองนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี เป็นคำสั่งให้ทำการจับกุมผู้ถูกออกหมายจับส่งไปยังศาล
และถ้าหากเป็นการหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ หมายจับนั้นยังเป็นคำสั่งตรงถึงอัยการ ซึ่งในที่นี้หมายถึงอัยการสำนักต่างประเทศ เพื่อทำการประสานให้ "อินเตอร์โพล" หรือ "ตำรวจสากล" ออกหมายจับด้วย เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวของจำเลยให้หลบหนีได้ยากขึ้น โดยฝ่ายตำรวจจะเป็นผู้ยืนยันข้อมูลที่อยู่ของจำเลย และส่งต่อให้อัยการบรรจุในคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่อัยการสูงสุดเป็นผู้ประสานงานกลางตามกฎหมายลงนาม และยื่นคำร้องผ่านกระทรวงการต่างประเทศ
ซึ่งที่ผ่านมาอัยการ เปิดเผยว่า กรณีของ ”ทักษิณ” นั้น ได้ยื่นขอเป็นผู้ร้ายข้ามเเดนไปแล้วนับ 10 ประเทศทั้งแถบยุโรปและเอเชีย แต่ที่ยังไม่ประสบผล เป็นเพราะทักษิณมีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว เดินทางข้ามประเทศอยู่ตลอดเวลา และมีทั้งปฏิเสธมาว่า นายทักษิณไม่ได้อยู่ขณะร้องขอหรือเดินทางออกนอกประเทศไปแล้วก่อนทางการไทยประสานมา
แต่อย่างที่บอกไว้แต่ต้น อดีต ส.ส.เพื่อไทย แทบไม่ใยดีในความเหมาะควร และอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย โดยอ้างไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการจับกุม ตบเท้าเข้าพบ "นายใหญ่ทักษิณที่สิงคโปร์" แบบหัวกระไดไม่แห้ง และไม่แยแสต่อความรู้สึกใด ๆ ของผู้รักความถูกต้อง อยากเห็นนักการเมืองปฏิบัติตัวตามระเบียบข้อบังคับ หรืออย่างน้องก็เคารพจริยธรรมทางการเมืองที่ตัวเองพร่ำพูดอยู่ทุกเช้าเย็น
เพราะในอีกแง่มุมหนึ่ง นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ ผู้เคยดำรงตำแหน่ง อธิบดีอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร ในฐานะโฆษกอัยการสูงสุด เคยกล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.ไปพบ นายใหญ่ทักษิณ เอาไว้ตั้งแต่ปี 2552 หลังทักษิณหนีไปใหม่ ๆ ว่า
"หากเข้าข่ายให้การช่วยเหลือในการหลบหนีหรือหาที่พักอาศัยก็คงมีความผิด"
ว่าไปแล้ว ถ้อยคำของนายธนพิชญ์ สอดคล้องกับสิ่งที่ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ออกมาระบุถึงเรื่องอดีต ส.ส.เพื่อไทยเดินทางพบนายใหญ่เมื่อปลายสัปดาห์ก่อนว่า หากเข้าลักษณะการครอบงำ ชี้นำโดยบุคคลซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคฯ และพิสูจน์ได้ว่าผิดจริง อาจถูกยุบพรรค-ถูกตัดสิทธิทางการเมืองได้
"เพราะตามกฎหมายพรรคการเมืองนั้นไม่ให้มีการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว รวมถึงการนำเงินจากต่างประเทศเข้ามาสู่พรรคก็ไม่ได้ ตรงนี้ก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อน หากพบว่าผิดจริงตามกฎหมายกำหนดโทษให้ต้องยุบพรรคและถูกตัดสิทธิทางการเมือง ส่วนที่ขณะนี้เริ่มมีการออกรายการโทรทัศน์ในลักษณะของการหาเสียงเพื่อหวังผลของการเลือกตั้งนั้น กกต.ยังไม่สามารถดำเนินการอะไรได้เพราะยังไม่อยู่ในช่วงของการควบคุมการหาเสียง จึงเป็นเรื่องของเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ แต่ก็ต้องระมัดระวังว่าอย่าให้ไปละเมิดผู้อื่น" พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ให้ความเห็นกรณีดังกล่าว หลังข่าวนี้เป็นประเด็นร้อนขึ้นมาเมื่อ 2 - 3 วันก่อน
อย่างไรก็ตาม แม้ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ จะระบุว่า การพบปะกันตามปกติไม่ผิดกฎหมาย แต่นายทะเบียนพรรคการเมืองก็ยืนยันว่า แต่เรื่องนี้ก็มีความล่อแหลม และสุ่มเสี่ยงที่จะถูกกล่าวหาหรือร้องเรียนได้ว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายลักษณะเป็นการครอบงำหรือชี้นำ จนนำไปสู่การยุบพรรคตามที่ได้ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นอย่างยิ่ง
ทั้งหลายทั้งปวงนั่นยังไม่ต้องเอ่ยถึง...ความเหมาะสมในแง่มุมของจริยธรรมทางการเมือง...ที่พวกที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยควรสำเหนียกไว้เป็นอย่างยิ่ง...และจะว่าไปก็คงไม่มีนักการเมืองที่ไหนในโลกเป็นเช่นนี้....