บริวารเป็นพิษ?"อ้ายปึ้ง"ลาก"นายใหญ่"ซวยปมประเคนพาสปอร์ต เหตุ"อัยการ"ทวนความจำคนไทย"ลืมหรือทักษิณโดนคดีก่อการร้ายอยู่-ทำได้ไงท่าน รมว."

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

นับว่าเป็นคดีที่น่าสนใจทีเดียว สำหรับคดีหมายเลขดำ อม.51/2560 ที่อัยการได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ยื่นฟ้อง "นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล" อดีต รมว.ต่างประเทศ ยุคนายกฯ "หนูปู" เป็นจำเลย ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และศาลฯ นัดอ่านคำพิพากษาวันนี้

 

คดีนี้เป็นผลมาจากการที่ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายสุรพงษ์ เมื่อต้นเดือน ก.พ. 2560 หรือกว่า 1 ปีที่ผ่านมา จากการที่เขาออกหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้อื้อฉาว ซึ่งถูกออกหมายจับในคดีร่วมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก่อการร้าย และคดีอื่นๆ ซึ่งขัดต่อระเบียบข้อบังคับกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 (2) (3) และ (4)

และความน่าสนใจอยู่ตรงที่...หลังพ้นยุคเผาบ้านเผาเมือง และพรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นใหญ่ผ่านคูหาเลือกตั้งปี 54 ว่ากันว่า...นายใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าของพรรคตัวจริง....หยิบชื่อ "นายสุรพงษ์" ขึ้นมาทำภารกิจคืนพาสปอร์ตนี้โดยตรง...โดยให้นั่งเป็นเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ...และเจ้าตัวซึ่งก็คือนาย "นายสุรพงษ์" นั้นถึงกับดี๊ด๊าราวกับปลากระดี่ได้น้ำ...คุยใหญ่คุยโตผ่านสื่อหลายต่อหลายครั้ง...เพราะภารกิจพลีชีพที่นายใหญ่มอบให้นั้น...นอกจากจะให้นั่งเป็นเสนาบดีบัวแก้วแล้ว...ยังควบเก้าอี้....รองนายกรัฐมนตรี...ที่สุดแสนจะทำให้เจ้าตัวปลาบปลื้มอีกตำแหน่งด้วย

 

เหนืออื่นใดก็คือ พฤติการณ์ของ "นายสุรพงษ์" ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ และเดินเกมที่จะคืนพาสปอร์ตให้ "นายใหญ่" นั้นถือว่า...สุดโอหัง และไม่เห็นหัวคนไทยคนไหนทั้งสิ้น...เขาถียงคอเป็นเอ็นว่า...คืนพาสปอร์ตให้ "นายใหญ่"ไม่ผิด และอ้างอย่างหน้าตาเฉย เพราะตนเห็นว่า "ทักษิณ" ไม่มีพฤติการณ์เป็นภัยต่อประเทศ

 

"การสั่งออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณเป็นการวินิจฉัยทางการเมือง ซึ่งสามารถเห็นแตกต่างกันได้ ไม่ใช่การวินิจฉัยทางข้อกฎหมาย เพราะไม่เห็นว่านายทักษิณมีพฤติการณ์เป็นภัยต่อประเทศไทย ส่วนระยะเวลาออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณ ภายในวันเดียวนั้น ปกติขั้นตอนการขอหนังสือเดินทางผ่านกรมการกงสุลต่างประเทศ ใช้วิธีส่งข้อมูลทางอิเลคทรอนิคส์มายังกรมการกงสุลในประเทศไทย หากทำถูกต้องตามหลักเกณฑ์ก็ดำเนินการได้ทันที ดังนั้นกรณีของนายทักษิณจึงสามารถดำเนินการได้ภายใน 1 วัน ซึ่งเป็นขั้นตอนปกติ ส่วนที่ระบุว่า นายทักษิณมีรายชื่อติดแบล็กลิสต์นั้น ก่อนหน้านี้กระทรวงต่างประเทศได้สอบถามข้อมูลไปยัง สตช.และศาลแล้ว แต่ไม่เคยมีหนังสือตอบกลับมาว่า ไม่ควรออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณ ส่วนกรณีที่ตนเคยให้สัมภาษณ์ว่า จะมอบหนังสือเดินทางแก่นายทักษิณเป็นของขวัญปีใหม่นั้น เป็นแค่มุขในการให้สัมภาษณ์เพราะเป็นช่วงใกล้ปีใหม่เลยพูดเช่นนั้น แต่การดำเนินการของตนไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือหลักเกณฑ์ หรือสั่งให้ทำสิ่งผิดกฎหมาย" "นายสุรพงษ์" อ้างในคราวนั้น

อย่างไรก็ตาม คงเป็นจริงดั่งคำโบราณว่า...ภัยจากลูกน้องเป็นพิษนั้น...น่ากลัวไม่แพ้สิ่งใด เพราะคำพูดของ "นายสุรพงษ์" ในวันนั้นกลับทำให้ "นายใหญ่" ซวยไปด้วย และทำท่าว่าจะดิ้นไม่หลุดทีเดียว

 
เพราะคดีก่อการร้ายที่คนกำลังจะลืม ๆ ถูกตอกย้ำความทรงจำอีกครั้ง...เมื่อ "นายประยุทธ เพชรคุณ" รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ออกมาสวนกลับในทันควันว่า "นายสุรพงษ์" นั้น ผิด ม.157 แน่ เพราะ "ตัวผู้รับ คือนายใหญ่ทักษิณ โดนคดีก่อการร้าย รวมทั้งคดีอื่น ๆ ยาวเป็นหางว่าวอยู่"

 
"นายสุรพงษ์ ถือว่ามีความผิด ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เพราะทักษิณ ถูกออกหมายจับในคดีร่วมกับแกนนำ นปช. ก่อการร้ายและคดีอื่นๆ ซึ่ง ขัดต่อระเบียบข้อบังคับของกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 (2) (3) และ (4)" รองโฆษกอัยการสูงสุด ระบุในคราวนั้น

คำชี้แจงของรองโฆษกอัยการสูงสุงนั้น...คงไม่ต้องตีความเป็นอื่น เพราะทุกอย่างชัดแจ้งแดงแจ๋  และควรจะย้ำไว้ในที่นี้ด้วยว่า อัยการระบุโต้ง ๆ ว่า..."เพราะทักษิณ ถูกออกหมายจับในคดีร่วมแกนนำ นปช.  ก่อการร้ายและคดีอื่นๆ"  ซึ่งขัดต่อระเบียบข้อบังคับของกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 (2) (3) และ (4)....ซึ่งว่าไปแล้ว...เรื่องนี้เป็นนายสุรพงศ์แท้ ๆ ที่ล่อนจ้อน "นายใหญ่" ด้วยตนเอง เพราะจะว่าไป "คดีก่อการร้ายที่นายใหญ่โดนอยู่ด้วยนั้น" คนกำลังจะลืม ๆ (คนอาจจะไปจำว่าทักษิณหนีคดีที่ดินรัชดาฯ) เลยถูกตอกย้ำความทรงจำอีกครั้ง...เมื่อ "รองโฆษกอัยการสูงสุด" ออกมาสะกิดแผลเรื่องนี้อีกครั้งด้วยเอง

ขณะที่ "นายสุรพงศ์" ซึ่งยอมรับบท "หัวหมู่ทะลวงฟัน" เพื่อแลกกับเก้าอี้เสนาบดีจากกรณีนี้ ก็ส่อจะโดนลากเข้าแดนประหาร...ด้วยมาตรา 157 ที่ข้าราชการกับนักการเมืองกลัวกันนัก...เพราะพฤติการณ์แห่งคดีโจ่งแจ้งจนกูรูทางกฎหมายยังเสียวสันหลังแทน ส่วนคำพิพากษาจะเป็นเช่นไร...คาดไม่เกินค่ำวันนี้...คงได้รู้