"บั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์กระบวนยุติธรรม"? คือไฮไลท์ที่ศาลยัด"อ้ายปึ้ง" นอนคุก 2 ปี เหตุเคยเถียงคำไม่ตกฟาก"ข้าจะคืนพาสปอร์ตนายใหญ่-ใครจะทำไม?"

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

 

ข่าวใหญ่วันนี้ คงไม่พ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาในคดีในคดีหมายเลขดำ อม.51/2560 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง "นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล" อดีต รมว.ต่างประเทศ ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลยในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จากกรณีคืนหนังสือเดินทางให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกออกหมายจับคดีอาญาหลายคดีซึ่งขัดต่อระเบียบข้อบังคับกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548

ซึ่งล่าสุด ศาลฯ ได้มีคำพิพากษาจำคุก "นายสุรพงษ์" เป็นเวลา 2 ปี ตามความผิด พ.ร.ป. ป.ป.ช. 2542  มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นบทหนักสุด โดยไม่ให้รอลงอาญา เนื่องจากเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการช่วยเหลือให้ นายทักษิณ ผู้ต้องหา ที่ถูกศาลจำคุกในคดีซื้อขายที่ดินรัชดา และเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดีอื่นๆ หลบหนีโดยได้รับความสะดวกในการเดินทางไปต่างประเทศ จากหนังสือเดินทางที่ออกให้ใหม่ ซึ่งเป็นการบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมด้วยในการบังคับกฎหมายลงโทษกับจำเลยที่หลบหนีไป

คำพิพากษาของศาลฯ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขีดเส้นใต้ไว้ โดยเฉพาะประโยคที่ศาลฯ วินิจฉัยว่า "หนังสือเดินทางที่ออกให้ใหม่ (โดยการสั่งการของอ้ายปึ้ง-ผู้เขียน) เป็นการบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมด้วยในการบังคับกฎหมายลงโทษกับจำเลยที่หลบหนีไป"

 

แปลกันแบบตรงตัว คำวินิจฉัยของศาลฯ หมายถึง การกระทำของอ้ายปึ้ง ทำให้ "ทักษิณ" ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดีอื่นๆ หลบหนีโดยได้รับความสะดวกในการเดินทางไปต่างประเทศ จากหนังสือเดินทางที่ออกให้ใหม่ฉบับนั้น ซึ่งถือเป็นการบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมนั้น....นับว่าถลกหนัง และตบหน้านายสุรพงษ์ ไปด้วยฉาดใหญ่ เพราะก่อนหน้าเจ้าตัวออกมาเถียงกรณีนี้คอเป็นเอ็นไปทั่วทิศ และไม่มีทีท่าว่าจะยอมรับผิดจากปมประเคนพาสปอร์ตให้นายใหญ่ ทักษิณ ชินวัตรเลยสักนิด

 

โดยเขาโต้แย้งทุกฝ่ายที่ทักท้วงเรื่องนี้อย่างเผ็ดร้อน (ตามสไตล์ผู้มีอำนาจ) และถึงกับระบุด้วยซ้ำว่า ตนเองไม่ผิด เพราะมองว่านายทักษิณไม่มีพฤติการณ์เป็นภัยต่อประเทศไทย ทั้งยังให้นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ไปยื่นเรื่องต่อศาลแพ่ง เพื่อฟ้องร้อง สนช. กรณีลงมติถอดถอนเขาจากกรณีดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท และเรียกเงินทุนเลี้ยงชีพสมาชิกรัฐสภาที่เสียสิทธิไปกลับคืนมาด้วยซ้ำ

 

แต่อย่างไรก็ตาม การเถียงคำไม่ตกฟากของนายสุรพงศ์ไม่ต่างอะไรกับการ "แก้ตัวน้ำขุ่น ๆ " และกลายเป็น "วัวพันหลักรัดคอตัวเองไป" เพราะในเวลาต่อมา "นายประยุทธ เพชรคุณ" รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การกระทำของนายสุรพงศ์ ถือว่ามีความผิด ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เพราะทักษิณ "ถูกออกหมายจับในคดีร่วมแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช. ) ก่อการร้ายและคดีอื่นๆ"  ซึ่งขัดต่อระเบียบข้อบังคับของกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 (2) (3) และ (4)

 

แต่อย่างที่บอกไว้แต่ต้น นายสุรพงศ์นั้นอยู่ในข่ายของผู้ฝักใฝ่ "อำนาจนิยม" อย่างเต็มตัว...และคิดอยู่ในใจว่า อำนาจของ "ระบอบทักษิณ" ที่ยังมีอยู่อย่างแน่นหนาในสังคมไทย...จะคุ้มหัวเขาได้...เขาจึงไม่สนใจใครเลย...ดังที่กล้าส่งให้นายเรืองไกร ไปยื่นเรื่องต่อศาลแพ่ง เพื่อฟ้องร้อง สนช. กรณีลงมติถอดถอนเขาจากกรณีเมื่อเดือนมีนาคม 2561 หรือเมื่อ 2 - 3 เดือนที่ผ่านมานี่เอง

 

...ก่อนจะพบว่า การเถียงคำไม่ตกฟากด้วยคิดว่า  "ระบอบทักษิณ" จะอยู่ค้ำฟ้า...ไม่มีใครแตะต้องข้าได้นั้น...เป็นเรื่องของคนมัวเมาอำนาจที่มืดบอด...เพราะบั้นปลายของคดี(ศาลแรกในวันนี้) ได้ออกมาแล้วว่า...คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา เหตุเพราะเขาเหิมเกริม และ นั่น "ถือเป็นการบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรม"...ที่เจ้าตัวจำเป็นต้องชดใช้