บอกแล้ว"นายใหญ่แค่นักการตลาด-ไม่ใช่วีรบุรุษปชต.ที่ไหน"คลิปสาบส่งลิ่วล้อถือเป็นใบเสร็จชั้นดีเขาคือ"เผด็จการตัวเอ้-แก่นคิดปฏิปักษ์ปชต.ตัวจริง"

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

ดูเหมือนคลิปของ "นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี 2 ศรีพี่น้องผู้หลบหนีคดีทุจริตซึ่งยุ่บยั่บคาโรงคาศาลเต็มไปหมด ซึ่งเป็นคลิปที่นายทักษิณกำลังวีดิโอคอลคุยกับปลายสายที่คาดว่า เป็นแกนนำพรรคเพื่อไทยบางคนที่กรุงเทพฯ  โดยเนื้อหาที่พูดคุยนั้น...นายทักษิณพูดในเชิงออกคำสั่ง ให้เปลี่ยนตัวหาผู้สมัครหน้ามา...มาทดแทนอดีตลิ่วล้อทิ้งพรรคไป...ดูจะสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมือง โดยเฉพาะผลลบให้กับ...พรรคเพื่อไทยมากกว่าที่...เจ้าตัว (ทักษิณ) คาดคิดเอาไว้มากนัก

 

เพราะไม่เช่นนั้น...เขาคงไม่น้ำลายแตกฟอง...โชว์ความเป็นจ้าของ "พรรคเพื่อไทย" ตัวจริงเสียงจริงผ่านทางโลกออนไลน์สาบส่งลูกพรรคเช่นนั้น  เพราะนั่นมันสุ่มเสี่ยงที่จะถูก "ยุบพรรค-ไม่ยุบพรรค" อยู่รอมร่อ... เพราะตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ที่เพิ่งประกาศใช้ มาตรา 28 - 29 ระบุไว้ชัดว่า ห้ามผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคหรือคนนอกพรรค ยุ่งเกี่ยว แทรกแซง ครอบงำ ชี้นำพรรคการเมือง ซึ่งมีความผิดถึงขั้นยุบพรรคได้

 

ขณะที่ ตามมาตรา 92 ของกฏหมายฉบับเดียวกัน ก็ระบุชัดแจ้งว่า มาตราดังกล่าวเป็นมาตราที่บัญญัติขึ้นใหม่ไม่เคยมีมาก่อน เข้าใจว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายมาตรานี้ เพื่อให้พรรคการเมืองเป็นอิสระดำเนินกิจกรรมการเมืองตามเจตจำนงของพรรคและสมาชิกพรรค ไม่ใช่กลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มทุน กลุ่มผลประโยชน์ เหมือนที่ผ่านมา จนทำให้พรรคการเมืองขาดความเป็นสถาบัน และไม่ตอบโจทย์ประชาชน

 

กฎหมายก็เขียนอยู่ทนโท่ว่า "ห้ามผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคหรือคนนอกพรรค ยุ่งเกี่ยว แทรกแซง ครอบงำ ชี้นำพรรคการเมือง ซึ่งมีความผิดถึงขั้นยุบพรรคได้" ทั้งนี้ก็เพื่อให้พรรคการเมืองเป็นอิสระทางการเมืองอย่างแท้จริง และต้องไม่กลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มเหมือนที่ผ่าน ๆ มา

เหตุนี้...เมื่อ "นายใหญ่" ซึ่งอ้างมาตลอด (หลัง กม.ดังกล่าวบังคับใช้) ว่าไม่เกี่ยวข้องกับพรรคฯ เล่นบท CEO แบบลืมตัว และอาจจะกลายเป็นการตายน้ำตื้น ทำให้ผู้รู้ทางกฎหมายโดยเฉพาะในฝ่ายพรรคเพื่อไทยถึงกับนั่งไม่ติด และเอามือก่ายหน้าผากกันเป็นแถว ๆ

จริงไม่จริงแค่ไหน....ก็ดูจากการที่ "นายโภคิน พลกุล" อดีตประธานรัฐสภา แกนนำพรรคเพื่อไทยฝ่ายกฎหมาย ออกมากล่าวถึงกรณีอย่างด่วยจี๋ว่า  ตนยังไม่ทราบรายละเอียดการพูดคุย ของนายทักษิณกรณีนี้ และโดยส่วนตัวเห็นว่า พรรคเพื่อไทย จำเป็นต้องปฏิรูปตัวเองในระดับหนึ่ง เพื่อให้เป็นสถาบันการเมืองที่เป็นที่พึ่งให้กับประชาชนได้


นายโภคิน อ้างทั้งยังระบุุด้วยว่า การกระทำของ นายทักษิณ จะส่งผลต่อการยุบพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น ตนมองว่า เป็นเรื่องปกติของคนที่เคยทำงานด้วยกัน ก็ต้องมีการพูดคุยปรึกษากันเป็นเรื่องปกติ ทั้งยังยืนยันหนักแน่นว่า นายทักษิณ ไม่ใช่ผู้อยู่เบื้องหลังของพรรคเพื่อไทยอย่างที่หลายฝ่ายมอง


ว่าไปแล้ว...การออกมาแก้ต่างของนายโภคิน ในคราวนี้ แทบไม่ต่างอะไรกับการที่ "นายภูมิธรรม เวชยชัย" รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และเปรียบดั่งพ่อบ้านพรรคฯ  ต้องรีบออกมาเคลียร์กรณี สมาชิกพรรคเพื่อไทยหลายคน พากันพาเหรดตบเท้าเข้าพบ "นายใหญ่" ที่ปักกิ่ง เพื่อหารือถกชื่อผู้นำพรรคตัวจริง หลังมีกระแสข่าวว่า "คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" ขอถอนตัวช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมาสักนิด


คราวนั้น นายภูมิธรรม ก็กล่าวอ้างทำนองว่า พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคการเมืองซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคล มีหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และกรรมการบริหารพรรค ซึ่งทุกท่านล้วนเป็นตัวแทนของพรรคที่ได้รับเลือกตั้งจากสมาชิกพรรคตามกระบวนการทางกฎหมายและเป็นไปตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย คณะกรรมการบริหารพรรค ประกอบด้วย หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคและคณะกรรมการบริหารแต่ละชุดจึงถือเป็นผู้แทนพรรคการเมืองอย่างถูกต้องและชอบธรรมทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย การตัดสินใจสำคัญใดๆ ของพรรคเพื่อไทย ล้วนดำเนินการและเกิดขึ้นโดยอาศัยกระบวนการตัดสินใจของคณะกรรมการบริหารอย่างมีระบบและแบบแผน อำนาจการตัดสินใจใดๆ ของคณะผู้บริหารพรรค จำเป็นต้องรับฟังความเห็นจากสาขาพรรค จากที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค และที่สำคัญต้องอยู่บนพื้นฐานการรับฟังความเห็นอย่างกว้างขวางจากสมาชิกพรรค รวมถึงความต้องการของประชาชน ที่จะเป็นฝ่ายเสนอและตรวจสอบการดำเนินการตามระบบของพรรค จึงไม่สามารถที่จะมีการบงการ สั่งการ หรือโน้มน้าวใดๆ จากปัจเจกบุคคลตามที่ถูกนำมากล่าวอ้างได้
 
..ไม่ต้องบอกก็คงจะเดาได้ว่า เหตุใดนายภูมิธรรม และนายโภคิน จึงออกมาแก้ต่างเรื่องนี้เป็นพัลวัน หากไม่ใช่เพราะมันมีบทลงโทษ "ยุบพรรค" จ่อคอหอยอยู่รอมร่อ...อย่างที่กล่าว แล้วจะว่าไป....หากพูดกันอย่างไม่อ้อมคอม หลายคนไม่รู้สึกแปลกใจนัก กับการที่ "นายทักษิณ" ลืมตัว ออกมาเล่นบท CEO โชว์พาวเว่อร์ในกรณีดังกล่าว เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่...เขาออกมาแสดงบทบาททำนองนี้ เพราะตัวตนที่แท้จริงของทักษิณนั้น...เป็นแค่นักการตลาด-ไม่ใช่วีรบุรุษประชาธิปไตย...ตามที่พวกมืดบอดพยายามจับมาชูหางที่ไหนเลย

...ไม่เช่นนั้น...เขาคงไม่หลุดคำพูดที่ว่า "จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจให้เราต้องดูแลเป็นพิเศษ แต่เราต้องดูแลคนทั้งประเทศด้วย แต่เวลาจำกัด ต้องเอาเวลาไปจังหวัดที่เราได้รับความไว้วางใจมากเป็นพิเศษ จังหวัดที่ไว้วางใจเราน้อยต้องเอาไว้ทีหลัง ไม่ใช่ไม่ไป คิวต้องเรียงอย่างนี้ ผมเป็นคนพูดตรงไปตรงมา" เมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปเป็นประธานมอบหนังสือแสดงสิทธิสัญญาเช่าที่ราชพัสดุตามโครงการรัฐเอื้อราษฎร์ ที่หอประชุมโรงเรียนบรรพตพิทยาคม อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ เมื่อทราบผลการเลือกตั้งซ่อมใน 3 จังหวัดที่ "พรรคไทยรักไทย" ส่งผู้สมัครลงแข่งขันหลังผู้สมัคร 3 คนของพรรคได้รับใบเหลืองจาก กกต. และสามารถชนะการเลือกตั้งกลับเข้าสภามาได้เพียง 1 จังหวัด คือที่จังหวัดสิงห์บุรีเท่านั้น

เรื่องนี้...ทำให้นักสังเกตการณ์ทางการเมืองหลายคนยืนยันตรงกันเลยว่า..."ทักษิณ" ไม่ใช่วีรบุรุษประชาธิปไตย แถมมีแก่นคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบนั้นเสียด้วยซ้ำ

ส่วนคลิปล่าสุดที่เขา "โชว์พาว" จนสั่้นสะเทือนไปทั้งพรรคฯ นั้น...รับเรื่องเรื่องนี้...ก็ไม่ธรรมดาแน่ เพราะล่าสุด "พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา" เลขาธิการ กกต. ซึ่งเป็นนายทะเบียนพรรคการเมืองอยู่ด้วย ออกมากล่าวถึงเรื่องนี้แล้วว่า ..

 
"ได้มอบหมายให้ นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต.ซึ่งรับผิดชอบงานด้านพรรคการเมืองตรวจสอบข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่ากรณีดังกล่าวเข้าข่ายมาตรา 28 มาตรา 29 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง ที่กำหนดห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอม หรือมิให้ผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการควบคุมครอบงำชี้นำกิจกรรมของพรรคในลักษณะที่ทำให้พรรค หรือสมาชิก ขาดความอิสระ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมแล้ว เนื่องจากตามกฎหมายใหม่ให้เป็นเรื่องความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ก็สามารถดำเนินการตรวจสอบได้เลยโดยไม่ต้องรอให้มีผู้ร้องเรียน ซึ่งกรณีดังกล่าวมีการนำเสนอผ่านสื่อต่าง ในฐานะนายทะเบียนฯจึงต้องเข้ามาดูแลหากการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงเบื้องต้นหากพบว่าเข้าข่ายมีมูลก็จะต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนต่อไป

 
โดยนายทะเบียนพรรคการเมือง ระบุด้วยว่า "บทโทษของความผิดของการกระทำตามมาตรา 28 , 29 พ.ร.ป.พรรคการเมือง ก็คือการเสนอศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ตามมาตรา 92 และมาตรา 93 ของกฎหมายเดียวกัน" แม้จะยืนยันว่า "จนขณะนี้ยังอยู่ในขั้นของการตรวจสอบข้อเท็จจริง และยังไม่อยากให้สาธารณชนตีความไปไกล"....มากนักก็ตาม