“หมอวรงค์”ชำแหละ ‘นคร มาฉิม’แปรพักตร์ซบ”ทักษิณ” ..สุดท้ายคงจบด้วยการติดคุก !!?

นายนครได้แจ้งเกิดกับนายทักษิณและเครือข่าย ถามว่าถ้าเราเป็นนายทักษิณจะปูนบำเหน็จอย่างไร การแปรพักตร์ของนายนครครั้งนี้ ไม่เหมือนอดีตส.ส.ทั่วๆไป ที่มีการย้ายพรรคปกติ แต่นายนครมีการทิ้งบอมบ์ไปสู่กลุ่มเป้าหมายหลายๆกลุ่ม เป็นที่ถูกใจนายทักษิณและเครือข่ายมาก คนทั่วไปถือว่าเป็นการทรยศต่อพี่ หักหลังเพื่อน และเผาบ้านทิ้งครั้งรุนแรง

นับว่าน่าสนใจอย่างยิ่งทีเดียว สำหรับการเคลื่อนไหวของ "นายนคร มาฉิม" อดีต ส.ส. พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์  เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งได้โพสต์ข้อความถึงวันเกิดครบรอบ 69 ปีของ "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรีและนักโทษหนีคดี โดยนายนคร สาธยายถึงความดีที่ทักษิณทำไว้ให้กับประเทศไทยแบบสุดลิ่ม และไม่กระดากที่ครั้งหนึ่งเคยฟาดฟันกันมาตลอด

 

โดยเนื้อหาที่นายนครโพสต์นั้น พาดพิงไปถึงอดีตต้นสังกัดอย่างพรรคประชาธิปัตย์ และองค์กรหลัก ๆ ของประเทศหลายฝ่าย ทั้งกองทัพ ตุลาการ โดยนายนคร...ใช้คำว่า "แนวร่วมฝ่ายอนุรักษ์นิยมมีความพร้อมทั้งทุน เครือข่าย นายทุน กลุ่มขุนศึก กลุ่มศักดินาอำมาตย์ และเครือข่ายข้าราชการ" (ซึ่งเป็นคำเดียวกับที่ แกนนำแดงหัวแถว-หางแถวใช้บนเวทีไม่มีผิด) โดยนายนครกล่าวหาว่า...กลุ่มคนเหล่านั้น... ได้วาทกรรมขึ้นมา เพื่อทำลายนายทักษิณ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะรวยแล้วโกง โกงทั้งโคตร ทุจริตเชิงนโยบาย ฯลฯ

โดยเขาระบุต่อว่า...แต่สิ่งเหล่านั้น...ยังไม่สามารถหยุดยั้งความนิยมในตัวทักษิณและพรรคของทักษิณได้...เหตุนี้ "เขาจึงขออนุญาตมาร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับทักษิณ ขอร่วมสู้กับเหล่าวีรชนฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อนำพาประเทศไทยของเราให้ข้ามพ้นจากความขัดแย้ง ข้ามพ้นจากยุคมืดของเผด็จการ ที่กดขี่ข่มเหง ฯลฯ" นคร เปลือยความต้องการของตน...ไว้ในบางย่อหน้า

 

 

ขณะเดียวกันทางด้านนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom เกี่ยวกับกรณี ดังกล่าวโดยระบุ ว่า บทวิเคราะห์ผลของจดหมายนายนครถึงนายทักษิณ

 

 เราลองมาวิเคราะห์ ผลได้เสีย ในจดหมายของนายนคร มาฉิมที่เขียนถึงนายทักษิณ

 

1.นายนครใช้คำว่า"พวกเรา"ในจดหมาย เพื่อให้สังคมเข้าใจผิดว่า ตนเองเป็นเบอร์ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ ในทางกลับกัน กลับเป็นบุคคลที่ มีเพื่อนน้อย ไม่มีบทบาทใดๆในพรรค แต่พยายามใช้คำว่าพวกเราตลอด เช่น "พวกเราจึงปรึกษากันว่า" ทางที่ดีนายนครน่าจะระบุว่ามีใครบ้างที่นายนครไปร่วมปรึกษาหารือด้วย ถ้าไม่สามารถระบุได้ จะกลายเป็นว่าสร้างเรื่องขึ้นมา เพียงเพื่อเอาอกเอาในนายทักษิณ

 

2.ในสาระของจดหมาย เท่ากับว่านายนครไม่สามารถแยกแยะฝ่ายประชาธิปไตย กับฝ่ายทุนสามานย์ได้ เพราะนายนครไม่ได้พูดถึงพฤติกรรมของฝ่ายทุนสามานย์ ในช่วงที่ผ่านมามีโครงการจำนำข้าว ที่ทุจริตรุนแรงที่สุดตั้งแต่ตั้งประเทศไทย หลังจากศาลตัดสินจนฝ่ายการเมืองหนีคุกออกนอกประเทศ และหลายคนติดคุก ขณะนี้ยังมีคดียึดทรัพย์เครือข่ายเสี่ยเปี๋ยงอีกหลายคดี ในศาลแพ่ง วงเงินร่วมห้าหมื่นล้าน และคิดดูว่าฝ่ายการเมืองจะเอาไปอีกเท่าไร ไม่นับรวมพฤติกรรมไม่ชอบอีกมากมาย จนมีประชาชนนับล้านออกมาขับไล่ ทำให้ประชาชนต้องเสียชีวิตไป 24 ราย บาดเจ็บมากกว่า 700 ราย

 

3.เพื่อให้เกิดความข้าใจ ฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายทุนสามานย์ ทั้งสองฝ่ายมาจากการเลือกตั้งเหมือนกัน แต่ฝ่ายประชาธิปไตย จะเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง แต่ฝ่ายทุนสามานย์ ทำเพื่อนายทุนเจ้าของพรรค เมื่อผ่านการเลือกตั้งแล้ว จะมีลักษณะ

-เหิมเกริมในอำนาจ และใช้อำนาจไม่ชอบ กล้าท้าทายประชาชนในจังหวัดที่ไม่เลือกเขา กล้าแม้ที่จะออกกฏหมายล้างผิดตนเอง

-ทุจริตเชิงนโยบาย จึงไม่แปลกที่ถูกศาลตัดสินคดีทุจริตหลายๆคดี และล่าสุดยังถูกหมายศาลอีก

-ไม่เคารพกฏหมายและกระบวนการยุติธรรม ถ้าตนเองได้ประโยชน์ก็ชื่นชม แต่ถ้าเสียประโยชน์ต้องจำคุก ก็จะตำหนิ แต่ถ้าเป็นตนเองหรือน้องสาวก็จะหนี

-มีพฤติกรรมจาบจ้วง

ซึ่งถือว่าทุนสามานย์ เป็นตัวทำลายประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นเหตุให้ประชาชนออกมาขับไล่ และจบด้วยรัฐประหาร ถ้าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ต่อให้ทหารที่ไหนอยากรัฐประหาร ไม่มีทางทำได้ เพราะประชาชนจะช่วยปกป้อง

แสดงว่านายนครแยกแยะไม่ออก เห็นว่ามาจากการเลือกตั้งเหมือนกัน จึงคิดว่าฝ่ายทุนสามานย์คือฝ่ายประชาธิปไตย

4.ผลของจดหมายฉบับนี้ นายทักษิณและเครือข่าย ได้ประโยชน์เต็มๆ แต่อาจได้ผลในช่วงแรก เพราะความจริงก็คือความจริง เนื่องจากนายนครมาช่วยแต่งเรื่องให้ และมาขยายผลโดยสื่อเครือข่าย เพื่อให้เข้าใจผิดว่านายนครยังอยู่พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ข้อมูลน่าเชื่อถือ ทั้งๆที่นายนครออกจากพรรคประชาธิปัตย์นานถึงสี่ปีกว่าร่วมห้าปี ไปอยู่ที่พรรคชาติพัฒนา แต่คนไม่ค่อยรับรู้ เพราะไม่ใช่คนที่มีบทบาทและกำลังจะไปอยู่พรรคเพื่อไทย

 

5.ผลต่อนายนครเอง ต้องยอมรับว่าแฟนๆพรรคประชาธิปัตย์จำนวนมากในจังหวัดพิษณุโลกและทั้งประเทศ มีความรู้สึกต่อต้านนายนคร หลายๆคนโทรศัพท์มาวิพากษ์วิจารณ์การทำตัวเช่นนี้ ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้งของนายนครแน่ โดยเฉพาะการที่พยายามสร้างภาพว่า ตนเองมีจุดยืน มีอุดมการณ์ แต่เปลี่ยนถึงสามพรรค ทำให้คิดได้ว่าใช้เงินเป็นตัวตั้ง ซึ่งชาวพิษณุโลกไม่ยอมรับ

 

6.นายนครได้แจ้งเกิดกับนายทักษิณและเครือข่าย ถามว่าถ้าเราเป็นนายทักษิณจะปูนบำเหน็จอย่างไร การแปรพักตร์ของนายนครครั้งนี้ ไม่เหมือนอดีตส.ส.ทั่วๆไป ที่มีการย้ายพรรคปกติ แต่นายนครมีการทิ้งบอมบ์ไปสู่กลุ่มเป้าหมายหลายๆกลุ่ม เป็นที่ถูกใจนายทักษิณและเครือข่ายมาก คนทั่วไปถือว่าเป็นการทรยศต่อพี่ หักหลังเพื่อน และเผาบ้านทิ้งครั้งรุนแรง คนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ นายทักษิณก็คงมองออก เพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะทำกับพรรคเพื่อไทยเช่นนี้หรือไม่ ผมคาดว่าสิ่งที่นายนครได้รับคือ

6.1 ในระยะแรกต้องเร่งชูบทบาท ถ้าเป็นรัฐบาลต้องให้เป็นรัฐมนตรี แต่สุดท้ายคงจบด้วยการติดคุก เหมือนอีกหลายๆคน

6.2 เนื่องจากนายนครมีความขยัน แต่เพื่อนน้อย ถ้าหมดประโยชร์ทางการเมือง คงต้องมีความระแวดระวัง ต่อพฤติกรรม สุดท้ายต้องประหาร(ทางการเมือง) เพราะคงไม่กล้าส่งเสริมให้ดูแลพรรคแน่นอน

 

7.ผลต่อพรรคประชาธิปัตย์ แน่นอนว่า ช่วงแรกต้องได้รับผลกระทบ จากข้อมูลผิดๆที่มีการเขียนขึ้นมาเอง ระยะเวลาผ่านไป ประชาชนก็เข้าใจและมองออก อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครที่จะทำอะไรพรรคประชาธิปัตย์ได้แน่นอน เพราะพรรคประชาธิปัตย์มีประชาชนเป็นเจ้าของ แต่สิ่งที่ท้าทายพรรคประชาธิปัตย์ของพวกเรา นั่นคือไพร่พล ย่อมมีทั้งดีและเลว จะช่วยกันดูแลอย่างไร

 

“หมอวรงค์”ชำแหละ ‘นคร มาฉิม’แปรพักตร์ซบ”ทักษิณ” ..สุดท้ายคงจบด้วยการติดคุก !!?

 

อย่างไรก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 ก.ค. นพ.วรงค์ ได้กล่าวว่า ตัวเองสนิทสนมกับนายนครเป็นอย่างมาก เพราะเป็นคนชวนตัวเองเข้ามาทำงานการเมืองภายใต้สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เพราะบอกว่าเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ทางการเมือง  ตนจึงตัดสินใจเข้าร่วม  

 

แต่ภายหลังไม่ทราบ และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรกับนายนคร  ถึงแสดงท่าทีเช่นนี้  อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายนคร ได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่ปี 56  และไปสังกัดพรรคชาติพัฒนา และพวกเราอดีตส.ส.พรรคประชาธิปปัตย์ ก็ยังแสดงความยินดี และเข้าใจการตัดสินใจของนายนคร เพราะท่านบอกว่าจำเป็นต้องดูแลพื้นที่   

 

และต่อมาก็ชนะการเลือกตั้งในปี57 แต่สุดท้ายผลการเลือกตั้งเป็นโมฆะ   ซึ่งช่วงนี้นายนครก็ไม่เคยต่อว่าพรรคประชาธิปปัตย์แต่อย่างใด แต่มาบัดนี้กลับมีท่าทีตรงกันข้าม ตนจึงไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเขาในภายหลัง.