"นายกฯ" มอบนโยบายทูต-ผู้ว่าฯ จังหวัดชายแดน ระบุเน้นบูรณาการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

"พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบายเอกอัครราชทูต และผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เน้นสร้างบูรณาการการทำงานเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไร้รอยต่อเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน  

 

"พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบายเอกอัครราชทูต และผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เน้นสร้างบูรณาการการทำงานเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไร้รอยต่อเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
 

 

วันนี้ (10 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 09.30 น.ที่ผ่านมา "พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมอบนโยบายในการประชุมเต็มคณะกับเอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ประจำประเทศเพื่อนบ้านพร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดน ภายใต้คำขวัญ “เชื่อมโลกสู่ไทย เชื่อมไทยสู่โลก เชื่อมจังหวัดสู่เพื่อนบ้านและโลก” ณ ห้องวิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ

 

โดยมีรัฐมนตรีผู้เกี่ยวข้อง อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 32 จังหวัด อาทิ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เป็นต้น รวมทั้ง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เข้าร่วมประชุมด้วย

 

โอกาสนี้ นายศุภชัย  เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวรายงานสรุปการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการต่างประเทศ ว่า ความสัมพันธ์ ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูงและการไปมาหาสู่ในระดับประชาชน การค้าชายแดนเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการประชุมระดับยุทธศาสตร์ อาทิ ACMECS ASEAN ยิ่งเพิ่มความร่วมมือกในระดับยุทธศาสตร์กับเพื่อนบ้านมากยิ่งขึ้น  ทั้งนี้ ประเทศเพื่อนบ้านคือหัวใจสำคัญของความร่วมมือ โดยเน้นรูปแบบ win/win บนพื้นฐานความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีตั้งแต่ระดับประชาชน เยาวชน จังหวัด ประเทศ  ขณะเดียวกัน นายจักร บุญหลง เอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง กล่าวเสริมสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการต่างประเทศ ในพื้นที่ด้วย

 

โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการทำงานเป็นทีมอย่างบูรณาการ ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ ที่เป็นหน่วยงานหลักด้านการต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทย หน่วยงานหลักด้านกิจการภายในประเทศ จะทำให้เกิดการพัฒนาและความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อระหว่างไทย กับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศในภูมิภาค และโลก สอดคล้องกับแนวทางและกลไกที่ยั่งยืนในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี นโยบาย “ไทยนิยม ยั่งยืน” และ “ประชารัฐ” รวมทั้งโมเดลการพัฒนา “ไทยแลนด์ 4.0” เพื่อให้ประชาชนโดยเฉพาะระดับฐานรากในพื้นที่จังหวัดชายแดน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนความสำคัญของยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี คือ การเน้นการพัฒนาทุนทางเศรษฐกิจ ตามโมเดลไทยแลนด์ 4.0 เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาเศรษฐกิจภาคประชาชนที่เน้นกลุ่มประชาชนฐานราก การพัฒนาคู่ขนานทั้งสองด้านนี้จะทำให้การพัฒนาประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่สามารถหลุดจากกับดักรายได้และไม่ติดกับดักใหม่
 

 

ซึ่งรัฐบาลยังมีนโยบายไทยแลนด์ + 1 ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน สร้างความเชื่อมโยงระหว่างความร่วมมือกับประเทศที่พัฒนาแล้วในภูมิภาคและนอกภูมิภาค โดยไม่ทิ้งประเทศใดไว้ข้างหลัง ทั้งนี้ ขอให้กระทรวงการต่างประเทศขับเคลื่อนความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อพัฒนาไทยและประเทศเพื่อนบ้านในกรอบต่าง ๆ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม และขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดน ช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในส่วนภูมิภาคและจังหวัดโดยอาศัยกลไกต่าง ๆ ที่มีอยู่

 

ทั้งนี้ รัฐบาลเน้นการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในทุกระดับ ผ่านนโยบายพลังประชารัฐ และไทยนิยม ยั่งยืน เพื่อสร้างการรับรู้การดำเนินงานของรัฐบาลและส่วนราชการ ขณะเดียวกันก็รับทราบความต้องการที่แท้จริงของประชาชน เพื่อร่วมขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ดีระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ส่วนราชการต้องดำเนินงานอย่างเป็นเอกภาพ บูรณาการ  มีการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการให้บริการและการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้ทั่วถึง เป็นธรรม และตรวจสอบได้


นายกรัฐมนตรี ยังระบุด้วยว่า เป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจ และการพัฒนาทุนมนุษย์ ด้วยหลักการเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ใช้หลักการระเบิดจากข้างใน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน นั้น ไทยต้องเสริมสร้างความมั่นคงทั้งรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ในทุกมิติ ด้วยการส่งเสริมความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน และสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือลดอุปสรรคต่อการค้าและความเชื่อมโยงระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดน การค้าชายแดน การพัฒนาด่านชายแดน การท่องเที่ยวเชื่อมโยงภูมิภาค และเน้นการสร้างความเข้มแข็งของวิสาหกิจชุมชน ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและทำให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็งจากรากฐาน รวมทั้งส่งเสริมลู่ทาง/ชี้ช่องทางเศรษฐกิจให้ผู้ประกอบการของไทยทั้ง start-up และบริษัทขนาดใหญ่ ออกไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาชายแดนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะโครงการ SEP for SDGs เพื่อให้อนุภูมิภาคมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

"รัฐบาลได้ให้หลักการสำคัญด้านการต่างประเทศ คือ การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ลดความหวาดระแวง และสร้างความร่วมมือกับนานาประเทศอย่างจริงใจ เหมือนการจับมือกันอย่างอบอุ่น หาความต้องการที่แท้จริง เน้นการสร้างความยั่งยืนในทุกระดับทั้งกรอบทวิภาคี พหุภาคีและไตรภาคี  สำหรับการสร้างความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ ต้องครอบคลุมทั้งด้านกายภาพ การคมนาคม การเดินทางท่องเที่ยว ระดับประชาชน รวมทั้งกฏระเบียบที่ต้องสอดคล้องกัน ขณะเดียวกันต้องมีกลไกที่สามารถติดตามการลงนามความร่วมมือต่างๆให้ทันสมัยและเป็นปัจจุบัน และขอให้กระทรวงต้องไปจัดทำข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data ) ของตนเอง ขณะเดียวก็ต้องคงอัตลักษณ์ความเป็น ASEAN ด้วย สำหรับการที่ไทยจะรับตำแหน่งประธานอาเซียน ในปีหน้านั้น ไทยจะต้องเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนอย่างแท้จริง ร่วมมือกันขจัดปัญหา อุปสรรคของอาเซียน เพื่ออาเซียนเข้มแข็งไปด้วยกัน (Stronger Together)  นายกรัฐมนตรีย้ำว่า "การดำเนินงานด้านต่างประเทศมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้าน จึงต้องบูรณการงานร่วมกัน และต้องใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งต้องเชื่อมโยงประเด็นที่ประชาคมโลกให้ความสำคัญ อาทิ ด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมทั้งสถานเอกอัครราชทูต ณ ต่างประเทศ จะต้องมีบทบาทเป็น ศูนย์ดำรงธรรม เพื่อดูแลคนไทยในต่างประเทศ ด้วย คือ เชื่อมไทย เชื่อมโลก ที่แท้จริง" 
นายกฯ ระบุทิ้งท้าย 

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับการประชุมระหว่างเอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ประจำประเทศเพื่อนบ้านกับผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดน เป็นเวทีและโอกาสให้ส่วนราชการไทยในพื้นที่ (จังหวัด) จากส่วนกลาง และต่างประเทศได้มาพบ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อคิดเห็น เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายต่อประเทศเพื่อนบ้าน กำหนดท่าทีและมีข้อเสนอร่วมกัน ทั้งสองกระทรวงยังจะได้ร่วมกันหารือเพื่อบูรณาการการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ด้านความมั่นคงและด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งร่วมขับเคลื่อนนโยบาย “ไทยนิยม ยั่งยืน” ในการผลักดันการพัฒนาในพื้นที่ ภายใต้นโยบาย “การทูตประชารัฐ” ในการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการต่างประเทศ