อย่าเก่งแต่ปาก? "ราเมศ" ท้า"เรืองไกร" แน่จริงเป็นทนาย"หญิงปู"ชั้นศาลปกครองเลย อย่าดีแต่พูด"นายข้าไม่ผิด-ไม่ให้ยึดทรัพย์"

อย่าแค่ปากเก่ง? "ราเมศ รัตนะเชวง" รองโฆษกและคณะทำงานกฎหมาย ปชป. ท้า "เรืองไกร  ลีกิจวัฒนะ" แห่งเพื่อไทย แน่จริงเป็นทนายให้ "หญิงปู" สู้คดีในชั้นศาลปกครองเลย หลังปากเก่งบอก "ยิ่งลักษณ์" ไม่ผิด โดยเขาอ้างว่า ไม่ได้เกิดความเสียหายจริง และขอให้รัฐบาลยุติการอายัดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์

อย่าแค่ปากเก่ง? "ราเมศ รัตนะเชวง" รองโฆษกและคณะทำงานกฎหมาย ปชป. ท้า "เรืองไกร  ลีกิจวัฒนะ" แห่งเพื่อไทย แน่จริงเป็นทนายให้ "หญิงปู" สู้คดีในชั้นศาลปกครองเลย หลังปากเก่งบอก "ยิ่งลักษณ์" ไม่ผิด โดยเขาอ้างว่า ไม่ได้เกิดความเสียหายจริง และขอให้รัฐบาลยุติการอายัดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ คดีทุจริตจำนำข้าว

 

โดย "นายราเมศ รัตนะเชวง" กล่าวที่พรรคประชาธิปัตย์ถึงเรื่องนี้ว่า การที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย ออกมาบิดเบือนข้อเท็จจริงคดีจำนำข้าวว่า ไม่ได้เกิดความเสียหายจริง และขอให้รัฐบาลยุติการอายัดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ นั้น ข้อมูลที่นายเรืองไกรกล่าวอ้าง ถือเป็นการบิดเบือนคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งสิ้น เป็นการเดินเกมการเมืองของพรรคเพื่อไทย เพื่อทำลายอำนาจตุลาการ ทำลายความน่าเชื่อถือของคำพิพากษาศาลฎีกาฯ เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองให้คนเข้าใจผิดว่าอำนาจตุลาการกลั่นแกล้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งที่ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาระบุชัดถึงยอดขาดทุนจากโครงการจำนำข้าวที่ทุจริตทั้งโครงการ ปิดบัญชีครั้งที่ 1 ขาดทุน 32,301 ล้านบาท ปิดบัญชีครั้งที่ 2 ขาดทุน 220,968 ล้านบาท ปิดบัญชีครั้งที่ 3 ขาดทุน 332,372 ล้านบาท รวม 585,641 ล้านบาท

 

"แต่นายเรืองไกรยังบิดเบือนว่าไม่มีความเสียหาย ถามว่าแล้วศาลพิพากษาได้อย่างไร โดยคำพิพากษาหน้าที่ 60 ระบุว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในรัฐบาลยิ่งลักษณ์เกิดปัญหาการทุจริตในขั้นตอนต่างๆสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ กระทบต่องบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนมาก จึงพิพากษาว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์กระทำความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต การเพิกเฉยละเลยถือเป็นการจงใจ กระทำการละเมิดเป็นเหตุให้กระทรวงการคลังเสียหาย คือเป็นเหตุให้ประเทศชาติเสียหาย กระทรวงการคลังจึงออกคำสั่ง ที่ 1351/2559 ให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงิน 35,717 ล้านบาท เมื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์เห็นว่าไม่ถูกต้องก็ไปฟ้องศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ก็ไปต่อสู้คดีที่ศาล แต่อย่านำเหตุผลทางการเมืองมาทำลายกระบวนการยุติธรรม ทำลายอำนาจตุลาการ"   นายราเมศ ระบุทั้งยังบอก ด้วยว่า
 

คำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ยังระบุชัดว่า โครงการระบายข้าวถุง 5 กิโลกรัมก็มีการคบคิดกันเพื่อกระทำการทุจริตด้วย นอกจากนี้ยังมีสัญญาที่เกิดขึ้นจากการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) อีก 4 สัญญาที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช. )ที่ยังไม่ระบุมูลค่าความเสียหายจากการขายขาดทุนว่าเป็นยอดจำนวนเท่าใด จึงถือเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่ควรแจ้งให้ประชาชนรับทราบด้วยว่าคดีไปถึงไหนแล้ว เสียหายเท่าไหร่ ซึ่งเรื่องนี้ก็น่าสนใจ เพราะว่าศาลได้มีคำพิพากษาชัดเจนแล้วว่า โครงการจำนำข้าวในรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีการทุจริตจริง 


"หากนายเรืองไกรยืนยันข้อมูล และเก่งจริงก็ขอให้รับเป็นทนายความให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และไปต่อสู้ในชั้นศาลปกครองด้วย"  นายราเมศ กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เมื่อ 2 - 3 วันก่อน น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Warong Dechgitvigrom" ว่า..มีข่าวว่านายเรืองไกร จะไปยื่นหนังสือถึงนายก พลเอกประยุทธ์เพื่อยกเลิกคำสั่งยึดทรัพย์นางสาวยิ่งลักษณ์ อ้างว่ารายงานการเงินแผ่นดิน ไม่แสดงตัวเลขขาดทุนจำนำข้าว ทั้งๆ ที่กรมบัญชีกลางก็ออกมาชี้แจงแล้วว่า ตัวเลขขาดทุนโครงการรับจำนำข้าว เขาไม่รายงานในรายงานการเงินแผ่นดิน แต่รายงานไว้ในการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว

 

นายเรืองไกรก็ยังทำไขสือ เหมือนไม่รู้เรื่อง และที่สำคัญ นางสาวยิ่งลักษณ์ก็ได้ใช้สิทธิ์ผ่านศาลปกครอง ในการขอให้ยกเลิกคำสั่งยึดทรัพย์ดังกล่าว กระบวนการต่อสู้ก็เป็นไปตามขั้นตอนของศาลปกครอง สุดท้ายอยู่ที่คำวินิจฉัยของศาล

 
"การที่นายเรืองไกร ทำเช่นนี้ ไม่ว่าคำพิพากษาศาลฎีกาก็ออกมาชัดเจนเรื่องตัวเลขขาดทุน กรมบัญชีกลางก็แจงชัดว่า การดูว่าโครงการต่างๆขาดทุนหรือไม่ให้ดูที่การปิดบัญชี รวมทั้งเรื่องที่นายเรืองไกรจะยื่นขอยกเลิกคำสั่งยึดทรัพย์ ก็อยู่ที่ศาลปกครองแล้ว แสดงว่านายเรืองไกรพยายามตีรวนแบบแกล้งไม่เข้าใจ" หมอวรงค์ ระบุ