งงใจ "ณัฐวุฒิ" ยกทักษิณ เปรียบ"ชวน-บิ๊กป้อม" คนละเรื่องเดียวกัน!

งงใจ "ณัฐวุฒิ" ยกทักษิณ เปรียบ"ชวน-บิ๊กป้อม" คนละเรื่องเดียวกัน!

ในรายการ ‘เข้าใจตรงกันนะ’ ทาง Peace TV ออกอากาสเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2561 ‘ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ได้กล่าวถึงประเด็นข้อถกเถียง สำหรับมุมมองทางการเมือง ของแกนนำนปช. อย่าง “ณัฐวุฒิ” และ “จตุพร พรหมพันธุ์” หลายฝ่ายมองว่า “สวน”ทางกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะบทบาทของนายทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่เหนือพรรคเพื่อไทย

 

สืบเนื่องจากบทสัมภาษณ์ของ ‘ณัฐวุฒิ’ ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาไทเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2561 ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามว่า ‘เมื่อไหร่พรรคเพื่อไทยจะก้าวข้ามคุณทักษิณและตระกูลชินวัตรไปสู่ความเป็นสถาบันเสียที’ ซึ่งเลขาธิการนปช. ตอบว่า ความเป็นสถาบันพรรคการเมืองของ ‘เพื่อไทย’ ไม่ใช่ต้องก้าวข้าม ‘ทักษิณ’ แต่ขึ้นอยู่กับการจะจัดวางบทบาทสถานะตัวบุคคลผู้มีคุณูปการเช่นนี้อย่างไร ในเมื่อประชาชนมั่นใจในนโยบายและผลงานของนายกฯ ทักษิณ อย่างปฏิเสธความจริงข้อนี้ไม่ได้

 

ต่อมา ‘จตุพร’ ได้ให้สัมภาษณ์ในแทบลอยด์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์เผยแพร่วันที่ 19 ส.ค.2561 ในหลักการที่ว่า พรรคการเมืองจะยึดติดกับตัวบุคคลไม่ได้ ควรจะเอาอุดมการปราธิปไตยเป็นตัวตั้ง ..โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว

 

อ่านเพิ่มเติม   "จตุพร"สวน"ณัฐวุฒิ" ชัดวันนี้เดินคนละแนวทางกับระบอบ"ทักษิณ" http://www.tnews.co.th/contents/475752

ล่าสุด “ณัฐวุฒิ” กล่าวว่า ส่วนตัวให้คะแนนความพยายามของสำนักข่าวอย่างไทยโพสต์และทีนิวส์ที่พยายามหยิบมาโยงว่าเลขาธิการนปช.และประธานนปช. มีความเห็นสวนทางกันชนิดที่เรียกว่ารุนแรงที่สุดตั้งแต่เคยมีมา ล่าสุดหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ก็มีคอลัมน์ที่บอกว่าณัฐวุฒิและจตุพรมีความเห็นสวนกัน ขบเกลียวกันอย่างรุนแรง

 

งงใจ "ณัฐวุฒิ" ยกทักษิณ เปรียบ"ชวน-บิ๊กป้อม" คนละเรื่องเดียวกัน!

 

‘ดังนั้น ผมต้องอธิบายอีกทีนะครับว่าไม่มีอะไรเลยเถิดขนาดนั้นเลย ถ้าไปอ่านชัดๆ ทั้งบทสัมภาษณ์ผมในประชาไทและบทสัมภาษณ์คุณจตุพรในแทบลอยด์ไทยโพสต์ ก็จะเห็นว่าหลักการไม่แตกต่างกัน

 

ที่ผมบอกว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องก้าวข้ามนายกฯ ทักษิณ ไม่ได้หมายความว่า ต้องเอานายกฯ ทักษิณ มาเป็นจักรวาลทั้งหมดในชีวิตของพรรคเพื่อไทย ไม่ได้บอกว่าต้องเอานายกฯ ทักษิณมาเป็นคนสั่งซ้ายหัน ขวาหัน

 

ไปอ่านดูผมบอกว่าอยู่ที่การจัดวาง ไม่ต้องก้าวข้าม เพราะว่าคุณูปการของนายกฯ ทักษิณกับความนิยมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยนั้นแยกขาดจากกันไม่ได้ นายกฯ ทักษิณมีผลงานนโยบายต่อเนื่องตั้งแต่ไทยรักไทยจนถึงปัจจุบัน อยู่ที่ว่าองคาพยพของพรรคเพื่อไทยในปัจจุบันจะจัดวางสถานะและบทบาทกันอย่างไร ซึ่งผมคาดหวังว่าจะเห็นในการเลือกตั้งที่จะมาถึง

 

นายกฯ ทักษิณ มีคุณูปการตรงไหน พรรคเพื่อไทยจะขับเคลื่อนไปสู่สถาบันทางการเมืองก็ต้องด้วยกรรมการบริหารพรรค ด้วยกลไกของพรรค ด้วยหลักการประชาธิปไตย

 

ซึ่งต้องเอาสิ่งที่มีคุณูปการเหล่านี้ มารวมกันจึงจะเกิดพลังสูงสุด แต่จะจัดวางอย่างไร คิดอย่างนี้ดีกว่าจะคิดว่าก้าวข้ามหรือไม่ก้าวข้าม เพราะในเมื่อฝ่ายตรงข้ามยังก้าวไม่ข้ามนายกฯ ทักษิณเลย

สำหรับบทสัมภาษณ์คุณจตุพร บอกว่าเป็นเรื่องอุดมการณ์ไม่ได้ยึดติดตัวบุคคล ผมก็เห็นด้วย ต้องไม่ยึดติดตัวบุคคล ดังนั้นจึงต้องจัดวาง เช่นเดียวกับที่พรรคประชาธิปัตย์จัดวางคุณชวนหลีกภัย แม้มีคุณอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคแต่ก็ไม่สามารถก้าวข้ามคุณชวนไปได้เพราะต้องจัดวาง แต่ละคนแต่ละกลุ่มก็ต้องจัดวางบทบาท

 

เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นลูกน้องพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาตลอดชีวิตราชการ แต่พอเมื่อถึงเวลาคสช.ยึดอำนาจก็ต้องจัดวางบทบาทว่าจะอยู่กันแบบไหน มิพักต้องกล่าวถึงเสียงเรียกร้องมากมายจากกองเชียร์ให้น้องเล็กบูรพาพยัคฆ์ก้าวข้ามพี่ใหญ่ที่เป็นรองนายกฯ บอกว่าพี่ใหญ่ข่าวคราวไม่ค่อยจะสู้ดี โดนทุกดอก โดนตลอด จริงไม่จริงผมไม่ทราบนะครับไม่ได้กล่าวหา

 

ฉะนั้น กองเชียร์รัฐบาลที่เสียงอ่อยๆ บอกให้ก้าวข้าม ให้ปลดพี่ใหญ่ที่เป็นรองนายกฯ แต่พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ก้าวข้าม เพราะพล.อ.ประยุทธ์ คงเห็นว่าพล.อ.ประวิตร มีคุณูปการต่อรัฐบาลนี้ หรือต่อวงอำนาจของท่าน

 

สำหรับเพื่อไทยจะจัดวางสถานะนายกฯ ทักษิณอย่างไรเพื่อการเดินหน้าไปสู่สถาบันทางการเมืองอย่างแท้จริง ภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตย เป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชน ทั้งการต่อสู้ทางการเมืองและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ต้องดูว่าเพื่อไทยแน่จริงหรือเปล่าที่จะจัดวางสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

 

ดังนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นการสวนทางกันรุนแรงหรือคิดแตกต่างกันชนิดที่เรียกว่าเป็นการขบเหลี่ยมขบเกลียวกัน อันนั้นวิเคราะห์ไปไกลเกินไปแล้วครับ

 

อยากจะให้ท่านผู้ชม โดยเฉพาะพี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์ได้สบายใจกันเถอะครับ พวกผมเป็นคนธรรมดาไม่ใช่คนยิ่งใหญ่ แต่เรื่องหลักการไว้ใจพวกผมได้ ไม่มีคิดหักหลัง ไม่มีคิดทรยศ เคยยืนไว้ยังไง เคยประกาศไว้แบบไหน ไม่มีเพี้ยนแม้แต่วินาทีเดียว นี่คือสิ่งที่สามารถจะให้คำสัตย์ไว้กับทุกท่าน’

 

ทั้งหมดนี่คือ ถ้อยคำจากปาก “ณัฐวุฒิ” ผู้ที่เห็นชอบว่าเพื่อไทย ไม่ควรก้าวข้าม จาก “ทักษิณ” ไม่ใช่เรื่องที่แปลกใจอะไรนัก เพราะและตัวของ “ณัฐวุฒิ”ไม่เคยก้าวข้าม สังเกตจากคำพูดของเขา “ณัฐวุฒิ” เรียก “ทักษิณ” ทุกคำว่า นายกฯ ทักษิณ ขณะที่อดีตนายกฯท่านๆอื่น “ณัฐวุฒิ”กับคำสรรพนาม อย่าง “คุณ” นั้นอาจแสดงให้เห็นสถานะที่แท้จริงของระหว่าง“ณัฐวุฒิ-ทักษิณ” เป็น ลูกน้อง หาใช่แนวร่วมผู้มีอุดมการณ์ตรงกันใช่หรือไม่?

 

และการที่“ณัฐวุฒิ” เปรียบเทียบบทบาท “ทักษิณ” ที่อยู่เหนือ “พรรคไทย”กับบทบาทของ“ชวน หลีกภัย” ที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ หรือ แม้แต่บทบาทของพล.อ.ประวิตร กับพล.อ.ประยุทธ์ เป็นเรื่องที่เทียบกันไม่ได้เลยบริบทของแต่ละคน แต่ละเรื่องแตกต่างกันไป   คนละเรื่องเดียวกัน

 

งงใจ "ณัฐวุฒิ" ยกทักษิณ เปรียบ"ชวน-บิ๊กป้อม" คนละเรื่องเดียวกัน!

 

สำหรับ "ชวน หลีกภัย" หรือ "นายหัวชวน" ที่คนปักษ์ใต้ให้ความเคารพนับถือศรัทธาตลอดมานั้น ถือว่ายังเป็นนักการเมืองที่มีความเพียบพร้อมและแหลมคมทางสติปัญญาไม่ได้เสื่อมถอยลงแต่อย่างใด  ทั้งปูมหลังที่ขาวสะอาด ทั้งความสง่างามของอดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร อดีตผู้นำฝ่ายค้าน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์   และที่สำคัญ ขณะนี้ ตอนนี้ “ชวน หลีกภัย” เป็นสมาชิกพรรคถูกต้องตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้  แตกต่างกับ “ทักษิณ” ที่ไม่มีสถานะในพรรคเพื่อไทย แต่กลับกล้าแสดงอำนาจ ที่ดูแล้วดูอีกอาจเข้าข่ายครอบงำตามที่ปรากฏเป็นข่าวเป็นคราวใหญ่ต่อก่อนหน้านี้

 

งงใจ "ณัฐวุฒิ" ยกทักษิณ เปรียบ"ชวน-บิ๊กป้อม" คนละเรื่องเดียวกัน!

 

ต่อมาพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ แห่งบูรพาพยัคฆ์ แม้จะมีข้อครหานาฬิกาหรู ที่ดูว่าคล้ายจะเป็นเรื่องของการเมืองไปเสียมากกว่าการตรวจสอบ ซึ่งเรื่องดังกล่าวยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ยังอยู่ในกระบวนการตัดสิ้นของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือปปช ทั้งนี้ในความเป็นจริง พล.อ.ประวิตร ตั้งแต่รับราชการเป็นนายทหารจบเกษียณอายุ  ไม่เคยถูกศาลฯตัดสินว่ามีความผิดต่อหน้าที่หรือการทุจริตต่อชาติบ้านเมือง  ไม่มีหมายจับ จนต้องหลบหนีออกนอกประเทศเหมือนอดีตนายกฯที่ “ณัฐวุฒิ” ยกให้เป็น ผู้มีคุณูปการต่อเพื่อไทยอีกเช่นกัน

 

การพยายามยกทั้ง3คนมาเปรียบเทียบกันนั้น ก็แค่ความพยายามกลบเกลื่อนสร้างภาพลักษณ์ให้ “ทักษิณ” ดูดีขึ้นเท่านั้นเอง