หยุดมโน! เพื่อไทยกวาด 260เสียงทั้งสภา เป็นไปไม่ได้

ปี่กลองเลือกตั้งส่งสัญญาณดังมาแต่ไกล ภายหลังที่มีแนวโน้มค่อนข้างแน่แล้วว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเดือนก.พ.62 ขณะเดียวกัน เมื่อต้นสัปดาห์ ที่ผ่าน ได้มีรายงานข่าวจากทางด้าน ฝากฝังของพรรคเพื่อไทย  ว่ากันว่า นายทักษิณ ชินวัตร ได้แสดงความมั่นอกมั่นใจ ว่าพรรคเพื่อไทย จะสามาระกวาดเสียงส.ส.ได้ถึง 260 เสียง

 

สาระสำคัญรายงานข่าวดังกล่าว แจ้งว่าที่ผ่านมามีแกนนำพรรค อดีตส.ส. สมาชิกพรรคเดินทางไปหานายทักษิณ ที่ต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งนายทักษิณ แสดงความมั่นใจจากผลโพลภายในที่มีต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่า พรรคเพื่อไทยยังได้รับความนิยมจากชาวบ้าน น่าจะได้ที่นั่งกลับมามากถึง260เสียง ส่วนพรรคอนาคตใหม่ ที่นโยบายโดนใจคนรุ่นใหม่ ถือว่าเป็นพรรคที่น่าจับตา อาจได้ส.ส.มากถึง 40 ที่นั่ง

 

รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 บัญญัติให้การเลือกตั้ง ใช้ระบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” โดยมีจำนวน ส.ส. 500 คน แบ่งเป็น ส.ส.เขต (เขตเดียวเบอร์เดียว) 350 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน  ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณานั้นก็คือ สถิติการเลือกตั้งที่ผ่าน  ยกตัวอย่าง เมื่อการเลือกตั้งตอนปี 54  พรรคเพื่อไทย เคยได้คะแนนสูงสุด  โดยมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว รับหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี โดยได้รับคะแนนความนิยมสูงสุด และได้ “คะแนน สส.เขตที่รวมกันแล้ว ทุกเขตทั้ง 375 เขตแล้วเท่ากับ 15 ล้านเสียง” ดังนั้นเมื่อ คิดเป็นสัดส่วนกลับมาแล้วเป็นคะแนนเสียงประมาณ 38% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจาก สส.500 คน เท่ากับได้ สส. 190 เสียง จากกระบวนเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม จะทำได้ สส.ประมาณเท่านี้

 

ดังนั้นการที่พรรคเพื่อไทย จะได้ 260 เสียง ต้องได้คะแนนทั้งประเทศสูงถึงประมาณ 18 ล้านเสียง จาก คนมาใช้สิทธิ์ 35 ล้านเสียงโดยจะได้ สส.เขตประมาณ 170-180คน และต้องได้ สส. ปาร์ตี้ลิสต์อีก 70-80 คน ซึ่งเกินครึ่งของ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ทั้งหมด แต่อีกข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณา ในขณะที่ฐาน คะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยอยู่ที่ สส.เขตไปแล้ว ดังนั้นการคิดคำนวนการเลือกตั้งระบบสัดส่วนผสม ทำให้จำนวนปาร์ตี้ลิสต์ จะถูกหักสัดส่วนไป ยังพรรคขนาดเล็ก-กลาง เกิดความ “สมดุล” ของ “พรรคการเมือง”แต่ละพรรค  ลดการผูกขาดทางการเมือง นี่คือ ความเป็นธรรมในแง่ของความนิยมจากทั่วประเทศ และเป็นธรรมกับทุกพรรค

 

 

ดังกล่าวที่ได้กล่าวมาแล้ว ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่จะมี สส. 260 เสียงจึงเป็นไป ไม่ได้เลย เรื่องดังกล่าวเป็นแค่การสร้างกระแส เรียกความสนใจเป็นเท่านั้นเอง