- 10 ก.ย. 2561
แหย่ไปแล้วครึ่งขา! DSI ยันสอบเพิ่มคดี "โอ๊ค-ฟอกเงิน" ตามที่อัยการต้องการเสร็จแล้ว ยันหลักฐานแน่นหนาพอที่จะสั่งฟ้องผู้ต้องหาแน่
แหย่ไปแล้วครึ่งขา! DSI ยันสอบเพิ่มคดี "โอ๊ค-ฟอกเงิน" ตามที่อัยการต้องการเสร็จแล้ว ยันหลักฐานแน่นหนาพอที่จะสั่งฟ้องผู้ต้องหาแน่
วันนี้ (9 ก.ย.) มีรายงานจาก แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSIเปิดเผยถึงความคืบหน้าการสอบสวนเพิ่มเติมในคดีฟอกเงินจากการทุจริตอนุมัติปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กับเครือกฤษดามหานคร ซึ่งมีธุรกรรมการเงินจำนวน 26 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท เข้าไปยังบัญชีเงินฝากกลุ่มของ "นายพานทองแท้ ชินวัตร" บุตรชายของ "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวก หลังอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 สั่งสอบเพิ่มเติมในหลายประเด็นว่า หลังพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษฯ ได้สั่งให้ดีเอสไอสอบสวนเพิ่มเติมใน 2 ประเด็น คือ 1 อัยการสอบถามถึงคดีฟอกเงินอื่นๆ จากการทุจริตอนุมัติปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มกฤษดาธานนท์ ซึ่งคดีทั้งหมดดีเอสไอได้สรุปสำนวนสั่งฟ้องไปให้อัยการเกือบทั้งหมดแล้ว ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนอีก 2 สำนวน ได้แก่ กรณีนายวิชัย กฤษดาธานนท์ เซ็นเช็คบริจาคให้กับมูลนิธิแห่งหนึ่ง จำนวน 100,000 บาท และกรณีเซ็นเช็คค่าจัดเลี้ยงรุ่นวปอ. ที่บุคคลอื่นสำรองจ่ายไปให้ก่อน จำนวน 200,000 บาท
แหล่งข่าวระบุด้วยว่า ส่วนประเด็นที่ 2 อัยการสั่งสอบสวนเพิ่มว่า นายรัชฎา กฤษดาธานนท์ บุตรชายของนายวิชัยได้จดทะเบียนประกอบธุรกิจด้านในบ้าง มีการจัดตั้งบริษัทเพื่อจำหน่ายรถยนต์หรูหรือรถยนต์ซูเปอร์คาร์ บ้างหรือไม่ ซึ่งพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้สอบสวนเสร็จแล้ว ในสัปดาห์หน้าจะส่งสำนวนการสอบสวนเพิ่มเติมให้กับอัยการฝ่ายคดีพิเศษ
ทั้งนี้ แหล่งข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับคดีดังกล่าวดีเอสไอสรุปสำนวนมีความเห็นสั่งฟ้องนายพานทองแท้ , นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ , นายวันชัย หงษ์เหิน สามีของนางกาญจนาภา เป็นผู้ต้องหาในคดีฟอกเงิน ซึ่งดีเอสไอเริ่มต้นสอบสวนตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นำชี้ธุรกรรมการเงิน
นอกจากนี้ ในการสอบสวนคดี มีพนักงานอัยการจากสำนักการสอบสวน ร่วมเป็นคณะพนักงานสอบสวน และยังเชิญพนักงานอัยการจากฝ่ายคดีการฟอกเงิน และตำรวจที่เป็นผู้สอบสวนคดีมาแต่ต้น เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาคดีพิเศษ รวมทั้งเชิญอาจารย์จากมหาวิทยาลัย ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบัญชี มาเป็นที่ปรึกษาคดีพิเศษด้วย นอกจากนี้พนักงานสอบสวนยังได้สอบปากคำกรรมการ คตส. ไว้เป็นหลักฐานในสำนวนคดี จึงมั่นใจว่าสำนวนคดีที่สอบสวนและมีความเห็นสั่งฟ้อง ดำเนินการด้วยความรอบคอบรัดกุม มีหลักฐานสมบูรณ์เพียงพอที่จะสั่งฟ้องผู้ต้องหา ในส่วนของ นางเกศินี จิปิภพ มารดาของนางกาญจนาภาซึ่งเป็นผู้สูงอายุ ไม่น่าเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด พนักงานสอบสวนก็มีความเห็นสมควรสั่งไม่ฟ้อง