โหนไม่เลิก"เพื่อไทย" ดาหน้าถล่ม"ไทยติดประเทศน่าละอาย"  ย้อนต้นต่อ UNHRC เชื่อถือได้แค่ไหน เมกายังร้องยี้!

ความน่าเชื่อขององกรณ์ UNHRC ที่เพื่อไทยพากันขย่มอยู่ ขณะนี้ สหรัฐฯกลับร้องยี้..ได้ประกาศขอถอนตัวจากสมาชิก คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนยูเอ็น เพราะเป็นองกรณ์ ที่มีอคติ-ตีสองหน้าก เป็นพวก "มือถือสากปากถือศีล" !! เรื่องนี้เพื่อไทยไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้

สืบเนื่องจากรณีที่มีการเปิดเผยองค์การสหประชาชาติ UN รายงานประจำปี แจงรายชื่อ 38 ประเทศว่าเป็น ประเทศที่น่าละอาย โดยอ้างว่ามีการปฏิบัติไม่ดีต่อนักสิทธิมนุษยชนหรือผู้ให้ความร่วมมือกับกลุ่มสิทธิมนุษยชน และหนึ่งในนั้นคือ ประเทศไทย ที่เพิ่งถูกระบุชื่อด้วยในปีนี้  โดยรายงานประจำปีฉบับนี้จัดทำขึ้นโดย นาย Andrew Gilmore  ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชน  UNHRC อันเป็นองค์การในเครือ UN ซึ่งจะใช้ประกอบการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของยูเอ็นในสัปดาห์หน้า

ในส่วนของไทยที่ถูกระบุถึงนั้นเป็น กรณีนายไมตรี จำเริญสุขสกุล และน.ส.ศิริกาญจน์ เจริญศิริ (ทนายจูน) และนำเรื่องที่ติดตามจากรายงานปีที่แล้ว เช่น กรณีฟ้องร้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภายใต้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการให้ความร่วมมือตามกลไกด้านสิทธิมนุษยชน เพราะขั้นตอนทุกอย่างเป็นไปตามหลักกฎหมายและระเบียบ โดยนายกฯ ยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายหรือเจตนาจะคุกคาม ข่มขู่ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน และยังให้ความสำคัญกับการปกป้องคุ้มครองนักสิทธิมนุษยชนให้มีความปลอดภัยและสามารถใช้สิทธิเสรีภาพในการปฏิบัติงานและดำรงชีวิตได้

 

โหนไม่เลิก"เพื่อไทย" ดาหน้าถล่ม"ไทยติดประเทศน่าละอาย"  ย้อนต้นต่อ UNHRC เชื่อถือได้แค่ไหน เมกายังร้องยี้!

 

จากพฤติกรรม UNHRC ที่ผ่านมาในอดีตนั้น เป็นตัวการต่อต้านรัฐบาลคสช. และเรื่องสำคํญที่ไม่เคยจางหายไปจากใจของคนไทย UNHRC เป็นหัวขบวนหนุนขบวนการล้มเจ้า องค์กรนี้เอง เบื้องหลัง “ตั้ง อาชีวะ”  หรือ นายเอกภพ เหลือรา ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง หนีซุกนิวซีแลนด์

 

สำหรับคนไทยองค์กรนี้ได้ หมดความน่าเชื่อถือไปแล้ว และเชื่อได้ว่า UNHRC  มีเจตนาบางประการ ที่รับใช้กลุ่มการเมืองบางกลุ่มหรือไม่  เพราะแม้ภาครัฐจะได้ออกมาชี้แจ้งเหตุและผล แต่เรื่องก็ยังไม่จบลง บรรดาลูกหาบพรรคเพื่อไทยได้จังหวะต่างพากันดาหน้าออกมาฉวยโอกาส ในการโจตี รัฐบาล อาทิ “หมวดเจี๊ยบ” ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง สมาชิกพรรคเพื่อไทย บางช่วงได้กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรสร้างความอับอายซ้ำสองให้ประเทศไทย โดยการพูดโกหกเพื่อเอาตัวรอดเนื่องจากติดโผเป็น 1 ใน 38 ประเทศที่มีพฤติกรรมคุกคามนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ โฆษกรัฐบาลกำลังพูดบิดเบือนให้คนไทยเข้าใจว่าการประณามดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหญ่

 

หรือนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ที่บางช่วงได้กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวสร้างความเสื่อมเสียแก่ประเทศอย่างมาก และสะท้อนถึงพฤติกรรมของรัฐบาลใน 4 ปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี การที่ไทยติดเป็นประเทศน่าละอายนี้ นอกจากจะทำลายภาพพจน์ของประเทศแล้วยังทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ ทำให้การลงทุนต่างประเทศที่มีน้อยอยู่แล้วยิ่งหดหายลดลงไปอีก ไม่ได้มีเพิ่มขึ้นมากเหมือนที่รัฐบาลพยายามบอก ตัวเลขการลงทุนแท้จริงไม่ได้เพิ่มและยังน้อยกว่าตอนก่อนการปฏิวัติมาก ซึ่งไม่อยากให้ไทยเป็นเหมือนประเทศเมียนมาร์ที่แต่แรกมีแนวโน้มที่ดีหลังการเลือกตั้ง แต่มาเจอเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนจนทำให้การลงทุนจากต่างประเทศหดหาย ประเทศเมียนมาร์เลยไม่พัฒนาเท่าที่ควร

และ นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานบางช่วงกล่าวว่า น่าเป็นห่วงในกรณีถ้าเขามีหลักฐานชัดเจนว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนจริงแล้วเราปฏิเสธก็อาจจะถูกตำหนิได้ว่า “โกหก” และจะเป็นการ “โกหกคำโต” กลางเวทีสำคัญระดับโลก จะเป็นการซ้ำเติมภาพพจน์ของประเทศไทยในทางที่ไม่ดียิ่งขึ้นไปอีก

 

อย่างไรก็ตามที่ผ่านต้องบอกว่าพลพรรคเพื่อไทย ถือว่าชื่นชม นิยม ในสหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งสิทธิเสรีภาพ ต้นแบบแห่งประชาธิปไตย สังเกตจากการที่ทูตสหรัฐออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทย รัฐบาลคสช. บรรดาพรรคเพื่อไทย ต่างออกมาขานรับยกย่องเป็นยกใหญ่ แต่เรื่องสำคัญความน่าเชื่อขององกรณ์  UNHRC ที่เพื่อไทยพากันขย่มอยู่ ขณะนี้ สหรัฐฯกลับร้องยี้..ได้ประกาศขอถอนตัวจากสมาชิก 'คณะมนตรีสิทธิมนุษยชน'ยูเอ็น เพราะเป็นองกรณ์ ที่มีอคติ-ตีสองหน้าก เป็นพวก "มือถือสากปากถือศีล" !! เรื่องนี้เพื่อไทยไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้

 

20 มิ.ย.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน นางนิกกี ฮาลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ ได้ประกาศว่า สหรัฐจะถอนตัวออกจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ UNHRC โดยอ้างว่า เป็นองกรณ์ที่ตีสองหน้า ทำงานเพื่อรับใช้ตนเอง ไร้การปฏิรูป รวมถึงดูหมิ่นสิทธิมนุษยชน

 

พร้อมระบุว่า การที่ UNHRC เพ่งเล็งและเป็นปรปักษ์ต่ออิสราเอลอย่างไม่หยุดหย่อนแสดงให้เห็นชัดเจนว่าองค์กรนี้ขับเคลื่อนด้วยอคติทางการเมือง ไม่ใช่สิทธิมนุษยชน

 

คำถามที่ต้องกลับมาทบทวนคืน องกรณ์นี้ยังมีความน่าเชื่อถืออีกหรือไม่? พูดง่ายๆแม้แต่มหาอำนาจอย่างสหรัฐยังไม่เอาเลย!!