ย้อนเกล็ด"ทักษิณ" ทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมายืนกุมต่ำ ขอสัมปทานดาวเทียมเลย

ท่าทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมายืนกุมต่ำ ขอสัมปทานดาวเทียมเลย

จากกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ออกมาโพสต์ครบ 12 ปี ที่ถูกรัฐประหาร โดย พล.อ.ประวิตร ระบุว่า "บ้านเมืองที่วุ่นวายอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะใคร แต่ไม่ใช่พวกเราแน่นอน เพราะพวกเราไม่ได้เกี่ยวข้อง เราออกมาแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติ ส่วนกรณีที่นายทักษิณ ระบุพร้อมพูดคุยปรองดองนั้น เขายังมีเรื่องที่ทำผิดกฎหมายอยู่ ขอให้ไปเคลียร์ตรงนั้นให้ได้ก่อน"

 

ย้อนเกล็ด"ทักษิณ" ทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมายืนกุมต่ำ ขอสัมปทานดาวเทียมเลย

 

ล่าสุด นายทักษิณ ได้โพสต์ข้อความลงบนทวิตเตอร์ ว่า "ท่าทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ.เลย"

 

ย้อนเกล็ด"ทักษิณ" ทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมายืนกุมต่ำ ขอสัมปทานดาวเทียมเลย

 

เรื่องดังกล่าวจะเป็นจริงหรือไม่ ..จะเป็นเรื่องที่ทักษิณสร้างขึ้นมานั้น นั้นไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ  ท่าทีอ่อนหวาน มือกุมต่ำตอนขอสัมปทานแบบนี้ ทักษิณเคยทำมาก่อน...

การปรากฏภาพ ทักษิณ ยืนกุมต่ำระหว่างพล.อ.สุนทร ประธาน รสช. กับคณะนายทหารที่กระทำรัฐประหารในปี 2534 ที่โค่นอำนาจ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ขณะกำลังวางมือแตะไหล่ทักษิณคนนี้แหละ  คนที่ไปพินอบพิเทาเกาะแข้งเกาะขาวิ่งขอสัมปทานดาวเทียมไทยคม  จนเกิดประโยคอมตะที่ว่า “ไม่มีบิ๊กจ๊อด ไม่มีไทยคม”  ในวันที่ส่งดาวเทียมไทยคมขึ้นสู่อวกาศที่เฟรนช์เกียนา เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.2536

 

ย้อนเกล็ด"ทักษิณ" ทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมายืนกุมต่ำ ขอสัมปทานดาวเทียมเลย

 

ทักษิณกลายเป็นผู้ผูกตัวเองเกาะไว้กับ “เผด็จการทหาร รสช.” ถึงได้เติบใหญ่ ร่ำรวยเป็นกอบเป็นกํา หลังจากนั้นทักษิณก็เริ่มเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางการเมือง โดยการชักชวนจาก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง.. ทักษิณ เข้าสู่สนามการเมืองได้ไม่นาน ก็ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในปี พ.ศ.2538 สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ก่อนที่ในปีต่อมาจะได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังธรรม ต่อจาก พล.ต.จำลอง และได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา และเป็นรองนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ

          จากนั้นในปี พ.ศ. 2541 ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค รวบรวมพลังดูดส.ส. จนในการเลือกตั้งปี 44 ทักษิณ นำพรรคไทยรักไทยกวาดที่นั่ง ส.ส.ทั่วประเทศ จนขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในที่สุด ในวันที่ 9 ก.ย.2544

ทักษิณ มีผลงานเด่นหลายเรื่อง ผลจากนโยบายประชานิยม เช่น การพักชำระหนี้เกษตรกร, โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค , โครงการบ้านเอื้ออาทร ฯลฯ และ นโบบายปราบปรามยาเสพติดเกิดการฆ่าตัดตอน 2500 ศพ โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม จนกลายเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์กรณีฆ่าตัดตอนตามมา จนต่อมาก็มีข้อครหาว่า ทักษิณ ได้ใช้อำนาจสนับสนุน หรือเอื้อประโยชน์ให้เครือญาติ กลุ่มชินคอร์ป บริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน)



  ทักษิณ  ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบวาระ 4 ปี และในการเลือกตั้งปี 48 ทักษิณ  ก็สามารถนำพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง จนมาถึงปี 49 จุดเปลี่ยนอันสำคัญคือการที่ทักษิณขายหุ้นชินคอร์ป ให้เทมาเส็ก บริษัทลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ เป็นจำนวน49.595%  ในตอนนั้นมีมูลค่า 73,274 ล้านบาท เรียกได้ว่ามีมูลค่าสูงสุดในขณะนั้นเลยก็ว่าได้ ทักษิณขายหุ้นหลังจากประกาศใช้ พรบ. โทรคมนาคม ฉบับใหม่เพียง 2 วันเท่านั้น ซึ่งพรบ.ฉบับนี้อนุญาตให้คนต่างประเทศ ถือหุ้นในบริษัทโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 50%  ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่ตัวเลขในการขายหุ้นในครั้งนั้น

 

และประเด็นสำคัญคือ การไม่เสียภาษีในการขายหุ้นแม้แต่บาทเดียว โดยการเล่นแร่แปรธาตุ  ใช้บริษัทแอมเพิลริช ที่บริษัทของคุทักษิณที่อยู่ในบริติช เวอร์จิน ถ้าขายให้เทมาเส็กตรงๆจะต้องเสียภาษี เพราะแอมเพิลริชถือว่าเป็นนิติบุคคล ถ้านิติบุคคลขายหุ้นมีกำไรจะต้องเสียภาษี

 

ทักษิณจึงเลี่ยงให้แอมเพิลริชไปขายต่อให้ลูกของคุณทักษิณในราคาต่ำ เพื่อไม่ให้แอมเพิลริชมีกำไร ทำให้ไม่โดนภาษี และจากนั้นให้ลูกมาขายต่อให้เทมาเส็กอีกทีหนึ่ง ทักษิณใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย บุคคลธรรมดาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี และนี่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งใน ฉนวนสาเหตุการรัฐประหาร