ยับเยิน! "ป๋าเปลว"เจียระไน"ฉากหลังการเกาะโต๊ะ" หลัง"บิ๊กป้อมถูกตีหัวเข้าบ้าน" บอก "ต้องด่าคนพูด เพราะทวงถามฯเช่นนี้ ถือว่าวุฒิภาวะเลว"

ยับเยิน! "ป๋าเปลว"เจียระไน"ฉากหลังการเกาะโต๊ะ" หลัง"บิ๊กป้อมถูกตีหัวเข้าบ้าน" บอก "ต้องด่าคนพูด เพราะทวงถามฯเช่นนี้ ถือว่าวุฒิภาวะเลว"

ยับเยิน! "ป๋าเปลว"เจียระไน"ฉากหลังการเกาะโต๊ะ" หลัง"บิ๊กป้อมถูกตีหัวเข้าบ้าน" บอก"ต้องด่าคนพูด ไม่ใช่ไปเยาะเย้ยคนถูกพูดถึง! "เพราะ.ทักษิณคือผู้นำบริหารประเทศ ในตำแหน่งนายกฯ ส่วนพลเอกประวิตร เป็นแค่ ผู้ใต้บังคับบัญชา การทวงถามผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้ ไม่ว่าในกาลไหนทั้งสิ้น ถ้าทำ.......ผู้ใหญ่คนนั้น ใหญ่แค่ตำแหน่ง แต่วุฒิภาวะ "เลว"!


ต้องอ่าน! "ป๋าเปลว"  หรือ "เปลว สีเงิน" คอลัมนิสต์อาวุโสระดับซือแป๋เรียกอาจารย์แห่ง "หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์" ออกมาเจียระไน "เบื้องหลังการเกาะโต๊ะ" ที่อดีตนายกฯ ผู้อื้อฉาว "ทักษิณ ชินวัตร" ออกมาแขวะ "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม ด้วยประโยคที่ว่า "ท่าทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ.เลย" หลัง "พล.อ.ประวิตร" ไล่ให้ทักษิณ "ไปเคลียร์คดีความให้จบก่อนแล้วค่อยมาคุยเรื่องปรองดอง"  หลัง "นายใหญ่ของคนเสื้อแดง" ฉวยโอกาสวาระครบรอบ 12 ปีรัฐประหารยุค คมช. 2549 เคลื่อนไหวทางการเมือง โดยอ้างว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้ง ถูกทำร้ายจากรัฐประหาร แต่จะอโหสิกรรมให้... ฯลฯ...อะไรทำนองนั้น

 

โดย "ป๋าเปลว" เขียนบทความ "เบื้องหลังการเกาะโต๊ะ" ซึ่งเผยแพร่ทางคอลัมน์ "คนปลายซอย" ของ"หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์" ฉบับวันนี้-ศุกร์ที่ 21 กันยายน 2561  โดย "ป๋าเปลว" ถึงกับระบุกรณีนี้ไว้ช่วงต้น ๆ ของบทความว่า  


"แต่ถ้าฟังกันด้วยเหตุและผล........ต้องด่าคนพูด ไม่ใช่ไปเยาะเย้ยคนถูกพูดถึง!
เพราะเวลานั้น ทักษิณคือใคร...ทักษิณคือผู้นำบริหารประเทศ ในตำแหน่งนายกฯ
ส่วนพลเอกประวิตร เป็นแค่ "ผู้ใต้บังคับบัญชา" ตามกลไกบริหารราชการงานเมืองคนหนึ่งเท่านั้น การตั้งพลเอกประวิตรหรือใครเป็น ผบ.ทบ.เป็นสามัญอำนาจผู้นำ ไม่ใช่เรื่องต้องถือเป็นบุญคุณที่ "ผู้ใหญ่" จะนำไปพูดเชิงทวงถามกับผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ว่าในกาลไหนทั้งสิ้น ถ้าทำ.......ผู้ใหญ่คนนั้น ใหญ่แค่ตำแหน่ง แต่วุฒิภาวะ "เลว"!

 

ดังรายละเอียดทั้งหมดที่ "ไทยโพสต์" ลงไว้ และถือว่า...เป็นการเจียระไนเรื่องนี้...จน..."คนโยนระเบิดใส่ผู้อื่นอย่างทักษิณ...อาจถึงขั้นกระอักโลหิต" คือ 


"กานต์ วิภากร" อดีตภรรยา "เสก โลโซ"

       โพสต์ fb .......

        ช่วงนำ "อดีตสามี" เข้าโรงพยาบาล หลังไลฟ์สดไม่ยอมหลับ-ยอมนอน เมื่อ ๑๙ สิงหา.๖๑ ว่า

       "..........เค้าจะใช้สมองอันชาญฉลาดหลอกทุกๆ คนได้ ซ่อนเก็บอารมณ์ความรู้สึกได้ เหมือนอย่างที่เราเห็นเค้าปกติในไลฟ์

       แต่คุณรู้ไหมว่า เขาเป็นไบโพลาร์ระยะสุดท้ายแล้ว ต่อจากนี้ คือการฆ่าตัวตาย....”

        ครับ ก็ไม่นึกว่าโรคนี้ระบาดได้ คือ ห่างมาเดือนเดียว ๑๙ กันยา.๖๑...........

        พ่อ-ลูก "แห่งครอบครัวสัมภเวสี" อาการคล้ายเสก โลโซ กำเริบพร้อมๆ กัน

        ทั้งพ่อ-ทั้งลูก เพ้อคลั่ง

        โพสต์ fb บ้าง ทวีตข้อความบ้าง ยกหางพล่ามรำลึกถึงปฏิวัติ ๑๙ กันยา.๔๙

        และตอนไหนก็ไม่ฮาเท่าโพสต์ใน "เฟซบุ๊กกรุงเทพฯ" ที่ว่า......

       เหตุผลที่ทำให้รัฐบาล “ทักษิณ” โดนปฏิวัติ มีเพียงข้อเดียว นั่นคือ “คนมันอิจฉา”

       ปรากฏว่า ชมรมคนขี้อิจฉา อ่านแล้ว พากันฮาขี้แตก-ขี้แตน พร้อมมีความเห็นเสริมท้ายสบถ ว่า

        "คนมันเห้...ย" ตะหาก!

        นอกจากนี้แล้ว "แฮชแท็ก #เกาะโต๊ะ" ก็เป็นบันเทิงราคาถูกจากจำอวด ๔ พ่อ-ลูก ที่ตัวพ่อปล่อยมุกฮาสวนกลับ "พลเอกประวิตร"

        ที่ให้ทักษิณไปเคลียร์เรื่องทำผิดกฎหมายให้จบก่อนแล้วค่อยมาคุยเรื่องปรองดอง นั้น

        ทักษิณทวีตกลับว่า.......

        "ท่าทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอเป็น ผบ.ทบ.เลย"

       ประเด็นตรงนี้ ถ้าผมเป็นบิ๊กป้อม จะพูดว่า

        "ทำเป็นลำเลิก-เบิกประจานดีไปเหอะ คราวหน้า อย่าหวังว่า จะมีอย่างที่ปล่อยให้น้องสาวมึงหนีออกไป ๑๑ รด.ได้อย่างนี้อีก"

        "กรณีเกาะโต๊ะ"........

        ดีแล้วที่พลเอกประวิตรไม่โต้ตอบ เพราะแน่นอนที่วลีเกาะโต๊ะ ชาวบ้านต้องเฮฮา เพราะฟังง่าย-เสพง่ายถูกจริตสังคม

        แต่ถ้าฟังกันด้วยเหตุและผล........

        ต้องด่าคนพูด ไม่ใช่ไปเยาะเย้ยคนถูกพูดถึง!

        เพราะเวลานั้น ทักษิณคือใคร...ทักษิณคือผู้นำบริหารประเทศ ในตำแหน่งนายกฯ

        ส่วนพลเอกประวิตร เป็นแค่ "ผู้ใต้บังคับบัญชา" ตามกลไกบริหารราชการงานเมืองคนหนึ่งเท่านั้น

     

    การตั้งพลเอกประวิตรหรือใครเป็น ผบ.ทบ.เป็นสามัญอำนาจผู้นำ

        ไม่ใช่เรื่องต้องถือเป็นบุญคุณที่ "ผู้ใหญ่" จะนำไปพูดเชิงทวงถามกับผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ว่าในกาลไหนทั้งสิ้น

        ถ้าทำ.......

        ผู้ใหญ่คนนั้น ใหญ่แค่ตำแหน่ง แต่วุฒิภาวะ "เลว"!

        ตอนนั้น "พลเอกชัยสิทธิ์ ชินวัตร" เป็น ผบ.ทบ. แต่ทำไมทักษิณต้องเอาพลเอกประวิตรมาเป็น แล้วให้ชัยสิทธิ์ขึ้นไปเป็น ผบ.สส.?

        เพราะเกาะโต๊ะหรือเพราะอะไร ตามไปดูกัน!

        เมื่อวาน (๒๐ ก.ย.๖๑) "พลเอกชัยสิทธิ์" ให้สัมภาษณ์ "มติชนสุดสัปดาห์"

        “ไม่มีอะไร ผ่านมานานแล้ว สมัยนั้น ผมเป็น ผบ.สูงสุด พลเอกประวิตรเป็น ผบ.ทบ.ต่อจากผม แล้วผมก็เกษียณปี ๒๕๔๘”

        เหตุการณ์ที่จะทำให้ ตท.๕ และ ตท.๖ มีปัญหากัน ไม่มีอยู่แล้ว

        ทหารเป็นไปตามปกติ ที่ทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา เมื่อรุ่นอื่นขึ้นมา รุ่นก่อนก็หายไป

        ไม่มีอะไร เป็นไปตามธรรมเนียม ไม่มีทะเลาะกัน ผมก็ยอมรับสภาพ”

        เมื่อถามว่า ........

        เหตุการณ์ที่ ‘ทักษิณ’ ทวิตเตอร์ ข้อความว่า พล.อ.ประวิตรเคยมา ‘เกาะโต๊ะ’ ขอเป็น ผบ.ทบ.นั้น จริงหรือไม่?

        พล.อ.ชัยสิทธิ์ กล่าวว่า

        “ถ้าพูด ก็จริงอยู่แล้ว ผมเอาแต่ทำงาน โดนเลื่อยขาเก้าอี้ เขาก็มีปัญญาไปพบ ก็ไปขอ

       ช่วงนั้น ผมก็มัวแต่ไปทำงานที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะงานยังไม่สำเร็จ

       ก็ไปทุกอาทิตย์ จึงไม่มีเวลา และเป็นดวงของเขา ก็เป็นแบบนั้น ซึ่งผมก็ไม่มีปัญหา ในส่วนผมนั้น ตั้งมาแล้ว ก็ปลดได้”

       เมื่อผู้มี "ส่วนได้-ส่วนเสีย" ยืนเช่นนี้ ต้องฟัง

        แต่ที่ฟังนั้น ก็ยังมี "ความอื่น" ที่ควรต้องฟังด้วยเช่นกัน

        ขออนุญาต "มติชน" นำข้อความคอลัมน์ "ไฟเหลืองประชาชน" เมื่อ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๗ มาประกอบ ดังนี้

       มติชน

       คอลัมน์ : ไฟเหลืองประชาชื่น

       ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ประโยคนี้ดูเหมือนจะใช้ได้เสมอในโลกแห่งความจริง โดยเฉพาะกับกรณีแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารปลายปีนี้

       เพราะเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบก หรือ ผบ.ทบ. ที่หลายคนเชื่อมั่นว่า เป็นเก้าอี้ที่มั่นคงยิ่งกว่าภูผาสำหรับ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร

       แต่ที่สุดแล้ว มันก็สั่นคลอนและหักลง ในที่สุด

       แม้ก่อนหน้านี้ หลายฝ่ายจะเชื่อมั่นว่า พล.อ.ชัยสิทธิ์ จะต้องได้นั่งเป็น ผบ.ทบ.ต่อไปจนเกษียณในปลายเดือนตุลาคมปีหน้าอย่างแน่นอน

       เพราะเมื่อ บวก ลบ คูณ หาร เหตุการณ์ทางการเมืองอันใกล้ โดยเฉพาะปี ๒๕๔๘ จะมีการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทย

       ต้องพบกับศึกหนัก หากหวังผลที่จะชนะการเลือกตั้งตามเป้า ๔๐๐ เสียงที่วางไว้

       ดังนั้น การให้โอกาสกับญาติผู้พี่ อย่าง พล.อ.ชัยสิทธิ์ นั่งเป็น ผบ.ทบ.คุมกำลังรบหลักของประเทศต่อไป และคอยทำหน้าที่เป็นมือเป็นไม้สนับสนุนรัฐบาล

       น่าจะเป็นทางออกที่สร้างความอุ่นใจและเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณได้มากที่สุด

       ในยามที่ประสบวิกฤติศรัทธาในตัวนายกฯ และภาพพจน์ของรัฐบาลที่ลดน้อยถอยลง

       อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ และ พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา ผบ.ทอ.

       2.ผบ.เหล่าทัพ แสดงเจตนารมณ์ขออยู่ต่อในตำแหน่งจนเกษียณ และปฏิเสธที่จะข้ามห้วยมาเป็น ผบ.สส. ต่อจาก พล.อ.สมทัต อัตตะนันทน์ ซึ่งจะเกษียณในปลายปีนี้ด้วยกันทั้งคู่

       ถึงแม้ พล.อ.สมทัตพยายามเสนอชื่อเพื่อนร่วมรุ่น ตท.๕ อย่าง พล.อ.วีระชัย เอี่ยมสอาด รอง ผบ.สส. ในฐานะมวยแทน ที่มีสิทธิ์ลุ้นส้มหล่นนั่ง ผบ.สส. ให้ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร รมว.กลาโหมพิจารณา

       แต่เมื่อเทียบในเรื่องของอาวุโส การยอมรับในกองทัพ และลักษณะความเป็นผู้นำแล้ว ชื่อของ พล.อ.วีระชัย ก็ตกไปในที่สุด

       สุดท้าย พล.อ.เชษฐา จำต้องเรียก พล.อ.ชัยสิทธิ์ พล.อ.อ.คงศักดิ์ พล.ร.อ.ชุมพล ปัจจุสานนท์ ผบ.ทร. และ พล.อ.อู้ด เบื้องบน ปลัด กห. มาหารือเป็นครั้งสุดท้าย ในช่วงเช้าวันจันทร์ (16 ส.ค.) ที่ผ่านมา

       ด้วยการปิดห้องทำงานภายในกระทรวงกลาโหม ถกเครียดนานกว่า ๒ ชั่วโมง ในการหาตัว ผบ.สส.คนใหม่ มีการนำประวัติ ผลการทำงาน อาวุโสการครองยศ อาวุโสรุ่นมาเปรียบเทียบอย่างละเอียด

       สุดท้ายได้ข้อยุติเป็นเอกฉันท์ เสนอชื่อ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ข้ามห้วยไปเป็น ผบ.สส.

       ในขณะที่ตำแหน่ง ผบ.ทบ. พล.อ.เชษฐาขอเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผช.ผบ.ทบ.อดีตแม่ทัพภาคที่ ๑ ที่ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นน้องเลิฟ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.

       โดย ๕ เสือ ทบ.ที่เหลือประกอบด้วย พล.อ.เทพทัต พรหมโมปกรณ์ (ตท.๓) ขยับจาก ผช.ผบ.ทบ.เป็น รอง ผบ.ทบ.ครองยศอัตราจอมพล

       พล.ท.ชุมแสง สวัสดิสงคราม แม่ทัพภาคที่ ๒ (ตท.๕) และ พล.ท.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ข้ามห้วยมาเป็น พล.อ.ในตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ.

       สำหรับ พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป (ตท.๔) นายทหารสายลูกป๋า สละสิทธิ์ขึ้นเป็นอัตราจอมพลก่อนเกษียณ และยืนยันขอนั่งเป็นเสธ.ทบ.เช่นเดิม

       ถือเป็นรายการพลิกโผ และล็อกถล่ม ครั้งใหญ่ในรอบหลายปี

       เพราะภายหลังข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป บรรดาคนในกองทัพ แทบจะไม่มีใครเชื่อหูตัวเอง

       เพราะอย่าลืมว่า พล.อ.ชัยสิทธิ์ เป็นนายทหารสายตระกูล ชินวัตร ส่วนใหญ่เชื่อมั่นถึงที่สุดแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาด ชี้เป็นชี้ตาย ย่อมต้องเห็นว่า เลือด ต้องข้นกว่าน้ำ

       แต่เมื่อย้อนกลับไปดูผลงานในช่วง ๑ ปีที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ กุมบังเหียนรับผิดชอบงานด้านความมั่นคง

       ปัญหาไฟใต้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนดูเหมือนว่า กองทัพไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จนบทบาทของ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ไม่เป็นที่ถูกใจคนใจร้อนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ

       และหลายครั้ง นายกฯ ออกอาการหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

       และล่าสุด พิษช่อง ๕ เพราะบริหารงานในสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง ๕ (ททบ.๕) ในยุค พล.อ.ชัยสิทธิ์ ยังทำให้เกิดปัญหาตามมาหลายเรื่อง

       การออกคำสั่งปลด ผอ.ททบ. ๓ คนในรอบ ๑ เดือน การเซ็นสัญญาโอนสิทธิ์ให้ บ.อาร์ทีเอ เอนเตอร์เทนเม้นต์ ผูกขาดสัมปทานการจัดสรรเวลาของช่อง ๕ นานถึง ๓๐ ปี โดยไม่ได้มีการขอมติเห็นชอบจาก ครม.

       เหล่านี้ ย่อมหนีไม่พ้นข้อครหาเรื่องการเอื้อประโยชน์ให้ตนเอง พวกพ้อง

       จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกสื่อนำไปโจมตีจนส่งผลกระทบกระเทือนถึงรัฐบาลและ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างปฏิเสธไม่ได้

       ในที่สุดก็มีไฟเขียวจากทักษิณ ส่งตรงไปยัง พล.อ.เชษฐา เชือด พล.อ.ชัยสิทธิ์ ให้พ้นจากเก้าอี้ ผบ.ทบ.

       นับเป็นการตัดไฟ (ใต้) แต่ต้นลม เพราะทักษิณคงไม่ต้องการร่วมดื่มน้ำพิษช่อง ๕ จนตัวเองต้องโดนหางเลขไปอีกคน.

        เท็จจริงเป็นยังไง รอ "ไบโพลาร์แมน" เผื่อจะทวีต.


ขอบคุณพิเศษข้อเขียนของ : "เปลว สีเงิน" แห่ง "หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์"