โปรไฟล์ไม่ธรรมดา! ว่าที่ 7 ขุนพล"พลังประชารัฐ"ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาปท. มองไกลอนาคตเมืองไทย 20 ปี

กระแสข่าวว่าพร้อมจะสานงานเดิมเติมงานใหม่ ว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ 20 ปี ข้างหน้าให้ขับเคลื่อนเดินหน้าต่ออย่างเป็นรูปธรรม หลังจากช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาได้ร่วมกันวางนโยบายโครงสร้างพื้นฐานไว้ในระดับสำคัญ

คึกคักโดดเด่นไม่แพ้พรรคการเมืองใหญ่เลยแม้แต่น้อย  สำหรับพรรคน้องใหม่ แต่ถูกคาดหมายว่าจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ อย่าง "พรรคพลังประชารัฐ" ที่มีกำหนดนัดประชุมใหญ่ในวันที่ 29 ก.ย. ท่ามกลางสปอตไล์ที่ฉายพุ่งตรงไปถึงสัมพันธภาพเชิงลึกระหว่างรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.  กับผู้ทรงคุณวุฒิในคณะรัฐมนตรี 

 

ที่มีกระแสข่าวว่าพร้อมจะสานงานเดิมเติมงานใหม่  ว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ 20 ปี ข้างหน้าให้ขับเคลื่อนเดินหน้าต่ออย่างเป็นรูปธรรม  หลังจากช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาได้ร่วมกันวางนโยบายโครงสร้างพื้นฐานไว้ในระดับสำคัญ  ท่ามกลางข้อสังเกตุว่าถ้าไม่ใช่รัฐบาลชุดเดิมมาสานงานต่อจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อย้อนเทียบกับประสบการณ์การเมืองในอดีตที่ผ่านมา??

 

ดังนั้นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก็คือสถานะของ  พรรคพลังประชารัฐ   จะตอบโจทย์ข้อนี้หรือไม่   และโฟกัสแรกก็อยู่ที่การประชุมพรรคพลังประชารัฐ  ในวันที่ 29  ก.ย.นี้่  ว่าจะมีความชัดเจนเรื่องขุนพลหลัก ๆ ที่้เข้าร่วมงานการเมืองตามที่เป็นข่าวหรือไม่อย่างไร

  (คลิกอ่านข่าวประกอบ :  จับตาไม่กระพริบ! 29 ก.ย.ประชุม"พลังประชารัฐ" ลุ้นเปิดตัว 4 รมต.คีย์แมนสำคัญ??)    https://www.tnews.co.th/contents/479455 

 

โปรไฟล์ไม่ธรรมดา! ว่าที่ 7 ขุนพล"พลังประชารัฐ"ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาปท. มองไกลอนาคตเมืองไทย 20 ปี

 

 

โปรไฟล์ไม่ธรรมดา! ว่าที่ 7 ขุนพล"พลังประชารัฐ"ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาปท. มองไกลอนาคตเมืองไทย 20 ปี

ดร.สมคิด  จาตุศรีพิทักษ์ , พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 

เพราะโดยทิศทางข่าว  ทางด้าน ดร.สมคิด  จาตุศรีพิทักษ์   มีหลักการชัดเจนมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าจะสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์   เดินหน้าพัฒนาประเทศให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์  20 ปี   อย่างถึงที่สุด   และ 4-5 บุคคลตัวอย่างที่มีรายชื่อว่าพร้อมทำงานร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ  ก็ล้วนมีสายสัมพันธ์กับดร.สมคิดอย่างแนบแน่น   รวมถึงยังเป็นทีมนโยบายยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศอีกด้วย

 

ยิ่งยวดไปกว่านั้นต้องยอมรับว่าสายพันธุ์ใหม่ทางการเมืองที่จะเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ  ล้วนมีประวัติน่าสนใจยิ่ง  เริ่มต้นจาก  "ดร.อุตตม สาวนายน"    จบปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยบราวน์ สหรัฐอเมริกา ปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ (การเงินและธุรกิจระหว่างประเทศ) Kellogg School of Management, มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น สหรัฐอเมริกา ปริญญาเอก สาขาบริหารการเงิน School of Management, University of Massachusetts-Amherst สหรัฐอเมริกา  ก่อนจะเข้าสู่วงการเงิน การธนาคาร ในฐานะทีมผู้บริหารสถาบันการเงินเอกชน  

 

โปรไฟล์ไม่ธรรมดา! ว่าที่ 7 ขุนพล"พลังประชารัฐ"ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาปท. มองไกลอนาคตเมืองไทย 20 ปี

ดร.อุตตม สาวนายน

 

ก่อนจะหันเหชีวิตมาใช้ความรู้เพื่อวงการศึกษา  เป็นอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา   รองคณบดี ฝ่ายวิชาการและอาจารย์ประจำสาขาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์  กระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2558  จากนั้นได้เข้ามาช่วยงานด้านเศรษฐกิจประเทศ   ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

 

กระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  แต่ได้ยื่นหนังสือลาออกเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559  เพื่อให้มีการแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  ท้ายสุดในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2559   ดร.อุตตมได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

 

โปรไฟล์ไม่ธรรมดา! ว่าที่ 7 ขุนพล"พลังประชารัฐ"ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาปท. มองไกลอนาคตเมืองไทย 20 ปี

ดร.อุตตม สาวนายน

 

สำหรับผลการทำงานชิ้นโบว์แดงล่าสุดขณะนี้เลย  ก็คือ  การขับเคลื่อนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ  EEC (Eastern Economic Corridor) มูลค่าโครงการกว่า 1.5 ล้านล้านบาท  ในระยะเวลา  5 ปี  ครอบคุลมพื้นที่ จังหวัดฉะเชิงเทรา , ชลบุรี และระยอง  เพื่อพัฒนาเป็นเขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก: เมืองการบินภาคตะวันออก (Special EEC Zone: Eastern Airport City ,  เขตส่งเสริมนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation: EECi) , เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital ParkThailand: EECd) , นิคมอุตสาหกรรม Smart Park และ นิคมอุตสาหกรรมเหมราช อีสเทิร์นซีบอร์ด 4   ซึ่งหากแล้วเสร็จเรียบร้อยถือว่าเป็นหนึ่งโครงการที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่  และอนาคตเศรษฐกิจประเทศไทยในอีก 20 ปีข้างหน้า



โปรไฟล์ไม่ธรรมดา! ว่าที่ 7 ขุนพล"พลังประชารัฐ"ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาปท. มองไกลอนาคตเมืองไทย 20 ปี

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ 

 

ลำดับถัดไป คือ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์   สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านวัสดุศาสตร์ และบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เคยดำรงตำแหน่ง  รองประธานและประธานกรรมการบริหาร มูลนิธิสัมมาชีพ , อนุกรรมการคณะทำงานพัฒนาเศรษฐกิจและทุนชุมชน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)  , กรรมการมูลนิธิสมเด็จพระมหามิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก  , เลขาธิการสมาคมบ้านจัดสรร กรรมการองค์การสะพานปลา กรรมการสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กรรมการบริหารสมามการบรรจุภัณฑ์ไทย กรรมการมูลนิธิส่งเสริมและพัฒนาคนพิการ

 

ก่อนจะเข้าช่วยงานด้านเศรษฐกิจในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม  และได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่ง  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในที่สุด  จากผลงานสำคัญๆในหลายเรื่อง  โดยเฉพาะการผลักดันนโยบายเรื่องสวัสดิการประชาชน หรือที่มักคุ้นกันในชื่อ "สานพลังประชารัฐ" อาทิเช่น   การผลักดันให้มีการเปิดตลาดต่างๆ   เพื่อเป็นแหล่งค้าขายและแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของชุมชน เช่น ตลาดต้องชม ,  ตลาดกลางสินค้าอัตลักษณ์  ,  ตลาดกลางชุมชนต่างๆ  รวมถึงยังร่วมผลักดันให้เกิดร้านธงฟ้าประชารัฐ   เพื่อเชื่อมโยงกับโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย  และนโยบายรัฐบาลที่เน้นดูแลเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชนตั้งแต่ชั้นฐานราก

 

โปรไฟล์ไม่ธรรมดา! ว่าที่ 7 ขุนพล"พลังประชารัฐ"ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาปท. มองไกลอนาคตเมืองไทย 20 ปี

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ 

 

โดยปัจจุบันที่ดำเนินการแล้ว ก็คือ  โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย  ซึ่งมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เม็ดเงินหมุนเวียนไปอย่างทั่วถึง  สำคัญที่สุดคือการช่วยเหลือด้านการครองชีพแก่ประชาชน กว่า11.4 ล้านคนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  ขณะที่อีกกว่า  40,000  ร้านค้าย่อยทั่วประเทศ  ก็ได้รับอานิสงส์โดยตรงเรื่องยอดขายที่ดีขึ้น   ไม่นับรวมกว่า 1,000 ผู้ผลิต s m e และผู้ผลิตภัณฑ์  OTOP และสหกรณ์ต่างๆ ทั่วประเทศ

 

ขณะที่การใช้จ่ายของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่นำวงเงินในบัตรไปซื้อสินค้าจากร้านค้าธงฟ้าประชารัฐจำนวนกว่า  5 หมื่นราย  ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2560- 20 ก.ย.2561 ที่ผ่านมามียอดซื้อสินค้ารวมแล้วกว่า  4.1 หมื่นล้านบาท และในยอดการใช้จ่ายนี้เป็นการจับจ่ายซื้อสินค้าชุมชนและสินค้าจากเกษตรกร  ที่นำไปจำหน่ายในร้านค้ากว่า 2 หมื่นล้านบาท นับเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากอย่างชัดเจน

 

ไม่เท่านั้นยังมีผลงานอีกหลาย ๆ ด้าน ทั้งการแก้ไขปัญหาราคายางพารา และล่าสุดการผลักดันกฎหมายต้นไม้เศรษฐกิจ 58 ชนิดเพื่อใช้ค้ำประกันเงินกู้  ในรูปของกฎกระทรวงภายใต้พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ.2558  เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนปลูกไม้ยืนต้นในที่ดินตัวเอง เพื่อการออม สร้างมูลค่า และเป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าในประเทศไทย อีกทั้งประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากต้นไม้ระหว่างการปลูก โดยนำไปเป็นหลักประกันทางธุรกิจเพื่อกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงินได้

 

โปรไฟล์ไม่ธรรมดา! ว่าที่ 7 ขุนพล"พลังประชารัฐ"ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาปท. มองไกลอนาคตเมืองไทย 20 ปี

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์

 

ลำดับถัดไปคุณสมบัติยิ่งหย่อนไม่แพ้กัน  คือ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์   ด้านการศึกษาจบปริญญาตรีด้านเภสัชศาสตร์ จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ปริญญาโทด้านการตลาด จากคณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์   และระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น ประเทศสหรัฐอเมริกา ( Ph.D. in Marketing Kellogg School of Management, Northwestern University, USA)

 

ก่อนหน้านั้นเคยดำรงตำแหน่งกรรมการสถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และเป็นผู้อำนวยการ SIGA ก่อนจะมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง ดร.สุวิทย์   ได้รับความไว้ใจแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพานิชย์  ในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ท้ายสุดได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

 

โปรไฟล์ไม่ธรรมดา! ว่าที่ 7 ขุนพล"พลังประชารัฐ"ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาปท. มองไกลอนาคตเมืองไทย 20 ปี

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์

 

ผลงานสำคัญ ๆ คือ การเป็นคีย์แมนในการขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0  ด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม  เพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์ด้านการพัฒนา ความกินดีอยู่ดี  ของประชาชนในสังคม  และการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ  เพื่อให้พัฒนาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และมีความเชื่อมโยงกันในทุกๆด้าน

 

โดยปัจจุบันมีภารกิจในการผลักดันการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เข้ามาขับเคลื่อนประเทศ เนื่องจากเป็นหัวใจสำคัญให้เข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 ภายใน 5 ปี  ภายใต้กรอบการบริหารแนวใหม่เพื่อให้นวัตกรรมการพัฒนาประเทศ ก้าวเดินไปสู่การปฏิรูปตามแนวคิด  “ประชารัฐ” ซึ่งมีหลักการใหญ่ในการเตรียมคนไทยเข้าสู่ศตวรรษที่ 21  ที่เน้นหนักในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ  และสร้างขีดความสามารถไปสู่การแข่งขัน  โดยการใช้วิทยาศาสตร์นำทาง  วิทย์สร้างคน  หรือ การทำให้คนไทยมีความคิดอ่านแบบวิทยาศาสตร์  แบบมีเหตุ-ผล แทนการใช้อารมณ์ในหลักการดำเนินชีวิตนำพามาสู่สังคมแห่งความปรองดอง โดยสร้างจิตวิญญาณและสปิริต ความคิดอ่านแบบวิทยาศาสตร์ ที่เรียกว่าเป็น “วัฒนธรรมวิทยาศาสตร์” หรือ Scientific Culture

 

โปรไฟล์ไม่ธรรมดา! ว่าที่ 7 ขุนพล"พลังประชารัฐ"ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาปท. มองไกลอนาคตเมืองไทย 20 ปี

ดร.กอบศักดิ์  ภูตระกูล

 

สำหรับดร.กอบศักดิ์  ภูตระกูล  รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ที่ประกาศชัดเจนในการเข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคพลังประชารัฐแล้วในขณะนี้     สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก จาก Massachusetts Institute of Technology ด้านเศรษฐศาสตร์มหภาค และเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ เมื่อปี 2540  และหลังจากสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี  ด้านคณิตศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ ที่ Williams College ประเทศสหรัฐอเมริกา   ได้กลับมาปฏิบัติงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  ก่อนถูกดึงไปช่วยงานที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน ในตำแหน่งผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน  ดูแลด้านงานวิจัย และผู้ช่วยผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  ดูแลฝ่ายพัฒนากลยุทธ์ ในระหว่างปี พ.ศ. 2550-2551

 

ต่อมากลับมาทำงานที่ ธปท. เป็นเวลาประมาณ 2 ปีในตำแหน่งผู้บริหารส่วนกลยุทธ์นโยบายการเงิน สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย รับผิดชอบงานที่เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินและประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง หลังจากนั้น ได้ตัดสินใจลาออกเพื่อหาประสบการณ์ในภาคเอกชน โดยทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กิจการธนาคารต่างประเทศ เป็นเวลาถึง 5 ปี

 

โปรไฟล์ไม่ธรรมดา! ว่าที่ 7 ขุนพล"พลังประชารัฐ"ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาปท. มองไกลอนาคตเมืองไทย 20 ปี

 

ก่อนจะถูกชักชวนมาช่วยงานเศรษฐกิจในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์  ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหาและปฏิรูปเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจไทยในด้านต่างๆ  จนกระทั่งเมื่อวันที่ 23 พ.ย. 60 ที่ผ่านมาได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีผลงานชัดเจนที่ถูกพูดถึงอย่างมาก คือการปรับเปลี่ยนแนวการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานรัฐบาล จนทำให้เรตติ้งรายการเดินหน้าประเทศไทยเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน และทำให้องค์ความรู้ที่เกิดจากนโยบายต่างๆของรัฐบาลถูกแปรเป็นข้อมูลที่สามารถรับรู้และเข้าใจได้ง่ายขึ้น

 

ขณะที่อีก 3 บุคคลรายชื่อ ที่กำลังถูกเฝ้าจับตาว่าจะเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่  อย่างไร   ก็ต้องถือว่าคุณสมบัติไม่ธรรมดา  เพราะนอกจากจะเป็นอดีตนักการเมืองคนรุ่นใหม่แแล้ว  และผ่านการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความชอบธรรมให้กับประเทศ ในนามของกปปส.แล้ว   ด้วยความรู้ ความสามารถก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน  อาทิเช่น    นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์   จบการศึกษาระดับปริญญาตรี เศรษฐศาสตร์  จากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตต สหรัฐอเมริกา  และปริญญาโท การบริหารธุรกิจ (MBA) จาก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อปี พ.ศ. 2539  จากนั้นกลับมาทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการโครงการ บริษัท ราชธานี กรุ๊ป และรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการลงทุน (BOI) สำนักนายกรัฐมนตรี ก่อนเข้าสู่วงการเมืองในฐานะส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และเคยทำหน้าที่เป็นโฆษกกทม. ในยุคที่มี นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครนี้ และต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดูแลงานด้านการศึกษาและพัฒนาสังคม กีฬา การท่องเที่ยว และด้านการพานิชย์ของกรุงเทพมหานคร

 

โปรไฟล์ไม่ธรรมดา! ว่าที่ 7 ขุนพล"พลังประชารัฐ"ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาปท. มองไกลอนาคตเมืองไทย 20 ปี

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์

 

ทางด้านการเมืองระดับประเทศ  นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์   ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม และรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ควบคู่กับการดำรงตำแหน่ง กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์   ล่าสุดครม. รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์  มีมติเห็นชอบแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ในตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง  มีภารกิจประสานการติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายตามนโยบายของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและเรื่องร้องเรียนของประชาชน และทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานรัฐสภา เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของวิปรัฐบาลเกี่ยวกับการออกร่างพระราชบัญญัติ 

 

โปรไฟล์ไม่ธรรมดา! ว่าที่ 7 ขุนพล"พลังประชารัฐ"ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาปท. มองไกลอนาคตเมืองไทย 20 ปี

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ 

ด้าน  นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ   จบการศึกษาระดับปริญญาโท ด้านการตลาด จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  เคยผ่านประสบการณ์มากมายในภาคธุรกิจเอกชน   ทั้งการดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารกิจการกระเบื้องคัมพานา  , พรมไทปิง และพรม Royal Thai ของ  บริษัท อุตสาหกรรมพรมไทย จำกัด (มหาชน) และ กรรมการบริหาร บริษัท ไทย-เยอรมัน เซรามิค อินดัสทรีย์ จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท รอยัลไทย จำกัด ประจำสาขาดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์   รับผิดชอบดูแลการขยายตลาดพรม แบรนด์ "Royal Thai" ในพื้นที่ประเทศตะวันออกกลาง โดยประสานกับพาร์ตเนอร์ต่างประเทศจากดูไบ คือ เดป้า อินทีเรีย ในเครือเดป้ายูไนเต็ดกรุ๊ป บริษัทออกแบบตกแต่งภายในรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง และติดอันดับ Top 5 ของโลก

 

ขณะที่ประสบการณ์ด้านการเมือง นายณัฏฐพลลงรับสมัครเลือกตั้งครั้งแรกในปี  2550 และได้รับการแต่งตั้งให้เป็น  ผู้อำนวยการพรรคประชาธิปัตย์  รวมถึงการเป็นส.ส.กรงเทพมหานคร เขต 10   แม้จะมีคู่แข่งคนสำคัญอย่าง  นายจารุวงศ์ เรืองสุวรรณ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย

 

โปรไฟล์ไม่ธรรมดา! ว่าที่ 7 ขุนพล"พลังประชารัฐ"ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาปท. มองไกลอนาคตเมืองไทย 20 ปี

นายสกลธี ภัททิยกุล 

สุดท้าย คือ  นายสกลธี ภัททิยกุล  มีดีกรีด้านการศึกษา  จบปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ปริญญาโทด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยอินเดียน่า และมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน สหรัฐอเมริกา  ก่อนกลับมารับราชการในกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และยังทำหน้าที่เป็นเลขานุการ  นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในขณะนั้น  ก่อนจะหันเหชีวิตเข้าสู่ถนนการเมือง ในฐานะผู้สมัครส.ส.พรรคประชาธิปัตย์  และได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง เขต 4  กรุงเทพมหานคร   ในปี  2550   และถือเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง ร่วมกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ  เลขาธิการกปปส. ในการเปลี่ยนแปลงประเทศ  ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะคับขันจากวิกฤตทางการเมือง  ที่เป็นผลจากปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลในขณะนั้น