- 30 ก.ย. 2561
ความได้เปรียบของพรรคพลังประชารัฐต้องยอมรับว่ามีมากกว่าพรรคอื่นๆ เพราะเป็นพรรคที่มีอำนาจรัฐในมือ แต่จุดแข็งตรงนี้อาจจะกลายเป็นจุดอ่อนได้เช่นกัน ถ้าบริหารจัดการไม่ดี
เรียกกระแสได้อย่างถล่มทลายสำหรับการเปิดตัว ของ “พรรคพลังประชารัฐ” การประชุมเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเลือกคณะกรรมการบริหารพรรค สำหรับประกอบยื่นจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้จัดขึ้นที่ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2561
สิ่งที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้น การเปิดหน้าทางการเมืองของ 4 รัฐมนตรี ที่ประชุมพรรคได้คัดเลือก ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหัวหน้าพรรค, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์. เป็นเลขาธิการพรรค , ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นรองหัวหน้าพรรค และ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็น โฆษกพรรค และกรรมการบริหารพรรค เพื่อนำทัพพรรคพลังประชารัฐ สู้ศึกเลือกตั้ง ส.ส. ที่คาดว่าจะมีขึ้นในปี 2562
โดยเบื้องต้น ดร.อุตตม ได้แสดงเจตนารมย์ในการสร้างสรรค์พรรคพลังประชารัฐ ให้เป็นพรรคการเมืองทางเลือกของประชาชนคนไทยที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่อนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า ว่า "ผมมีความสนใจจะร่วมทำงานการเมือง และได้ตัดสินใจแล้วที่จะร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ และจากการประชุมพรรคตามข้อบังคับกฎหมายเสร็จสิ้น ทางพรรคจะรีบยื่นข้อมูลต่อกกต.เพื่อให้รับรอง เมื่อรับรองแล้วพรรคพลังประชารัฐก็จะถือเป็นพรรคการเมืองแนวคิดใหม่ที่เกิดขึ้นเต็มรูปแบบ ส่วนวันนี้ถือเป็นการพบกันครั้งแรกของผู้ที่มีอุดมการณ์จะทำงานเพื่อประเทศชาติ ตามแนวสโลแกนพรรคพลังประชารัฐ ว่าเพราะโลกเปลี่ยนไทยต้องปรับ เราคือพรรคทางเลือกใหม่การเมืองไทย ก้าวข้ามความขัดแย้ง"
ล่าสุดทางด้านของ นายสุริยะใส กตะศิลา หนึ่งในแกนนำผู้รวมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการประชุมใหญ่เปิดตัวหัวหน้าพลังประชารัฐ ในหัวข้อ .. “พลังประชารัฐ....ทางแพร่งที่ต้องเลือก” มีเนื้อหาระบุว่า
หลังจากที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดตัวไปเมื่อวานทำให้ตลาดการเมืองเริ่มคึกคักและมีสีสันมากยิ่งขึ้นที่สำคัญทำให้เริ่มเห็นภาพทางการเมืองในกระดานเพราะพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคการเมือง และเป็นกลุ่มการเมืองกลุ่มสุดท้ายที่สังคมจดจ่อติดตามที่สำคัญเป็นพรรคที่โยงกับรัฐบาลและ คสช.ด้วย
ความได้เปรียบของพรรคพลังประชารัฐต้องยอมรับว่ามีมากกว่าพรรคอื่นๆ เพราะเป็นพรรคที่มีอำนาจรัฐในมือ แต่จุดแข็งตรงนี้อาจจะกลายเป็นจุดอ่อนได้เช่นกัน ถ้าบริหารจัดการไม่ดี แม้รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องจะไม่ได้บังคับให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองลาออกก็ตามแต่สังคมจะตั้งคำถามถึงความชอบธรรม ฉะนั้นต้องจัดความสัมพันธ์ในการทำงานจากนี้ไปอย่างระมัดระวังที่สุดเพราะไม่เช่นนั้นอาจจะกระทบกับ ทั้งพรรคและรัฐบาลไปพร้อมๆ กันได้
ซึ่งแน่นอนจะเป็นเป้าโจมตีให้กับพรรคคู่แข่งทางการเมืองหรือสะดุดขาตัวเอง ซึ่งต้องระมัดระวังให้มาก
ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้เมื่อถึงจุดหนึ่งเช่น เมื่อ กกต.รับรองความเป็นพรรคของพรรคพลังประชารัฐผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็อาจจะลาออกในตอนนั้นเพื่อมาทำพรรคเต็มตัวและหลีกเลี่ยงการถูกโจมตี และอาจจะมีการปรับ ครม.อีกครั้งก่อนเลือกตั้งก็เป็นไปได้
จริงๆแล้วพรรคพลังประชารัฐมีคนหน้าใหม่ทางการเมืองและคนรุ่นใหม่ที่น่าสนใจจำนวนมาก และเป็นกลุ่มคนที่ดูค่อนข้างมีความคิดมีพลังที่พรรคควรสนับสนุนให้บทบาท แต่น่าเสียดายที่ถูกบดบังไปจากประเด็นทางการเมืองที่ตกเป็นเป้าโจมตี
ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาว่าที่กรรมการบริหารของพรรคก็จะต้องพิจารณาบทบาทในส่วนนี้อย่างจริงจังเพราะในระยะยาว ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้ได้เปรียบทางการเมืองเสมอไป